ประวัติหลักสูตรและการศึกษาไทย
การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาของไทย ได้มีพัฒนาการมาเป็นระยะ ๆ ตามกาลเวลาในสมัยต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สมัย ก่อนกรุงสุโขทัย สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การศึกษาสมัยปฎิรูปการศึกษา (๒๔๓๕-๒๔๗๕) สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลักสูตรพุทธศักราช ๒๕๒๑-๒๕๒๔ จนมาถึงหลักสูตรปัจจุบันซึ่งประกอบด้วย หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕๒๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๒๔ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓) หลักสูตรดังกล่าว เป็นหลักสูตรกลางที่ใช้ในการจัดการศึกษาให้กับเยาวชน ในระบบ นอกจากนั้นยังมีหลักสูตรอื่น ๆ ที่หน่วยราชการต่าง ๆ จัดทำขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในสาขาวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการศึกษานอกระบบด้วย พร้อมทั้งแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๒ ปี
สมัยก่อนกรุงสุโขทัย
กิจกรรมทางการศึกษาที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอาณาจักร ล้านนาไทย ก็คือ กิจกรรมอันเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา มีหลักฐาน มากมายที่แสดงให้เห็นว่าชาวล้านนาสนใจศึกษา และปฏิบัติตาม พระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังนอกจาก ความรู้ ในด้านพุทธธรรมแล้ว ความรู้ ความสามารถในด้านสถาปัตยกรรมและ ปฏิมากรรม ตลอดจนศิลปะการช่างต่าง ๆ เช่น ช่างทอง ช่างเงิน ช่างเหล็ก ก็เจริญก้าวหน้ามากในอาณาจักรลานนาไทย
สมัยกรุงสุโขทัย พ.ศ. ๑๗๙๒ - ๑๙๘๑
การศึกษาของคนในสมัยกรุงสุโขทัยกับการครองชีวิต เป็นเรื่องเดียวกัน การศึกษามิใช่การ เตรียมตัวเพื่อชีวิต แต่การศึกษาคือ ชีวิต (Education is Life) การศึกษาคือการแก้ปัญหาเป็นการศึกษา โดยการปฏิบัติจริง (Learning by Doing) พุทธศาสนา มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของ คนไทย การศึกษาในสมัยกรุงสุโขทัย แบ่งออกเป็น ๒ สาย คือ สายฆราวาส และ สายบรรพชิต
- สายฆราวาส การศึกษาเล่าเรียนสายฆราวาส มี ๒ ด้านใหญ่ ๆ คือ ๑.ด้านวิชาชีพ ศึกษาและเรียนรู้ในครอบครัวจากพ่อแม่และเครือญาติ ๒.ด้านความประพฤติ ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ มีพระสงฆ์เป็นผู้สั่งสอนอบรมและ มีวัดเป็นศูนย์กลาง การศึกษาอบรม
- สายบรรพชิต คือการศึกษาของพระสงฆ์ จากหลักฐานต่างๆ พอสรุป ได้ว่าพระสงฆ์ในสมัยกรุงสุโขทัยสนใจ ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้งพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ถึงกับทรงพระราชทานราชสำนักให้เป็นที่เล่าเรียน ของพระสงฆ์ มีการอาราธนา พระสงฆ์ที่รอบรู้ พระธรรมวินัยจาก แหล่งต่างๆ มาเผยแผ่ความรู้ยัง กรุงสุโขทัย หนังสือไตรภูมิพระร่วง ที่พระมหาธรรมราชาลิไททรง พระราชนิพนธ์ขึ้นนั้น ก็จะทรงหมายไว้ให้พระสงฆ์ ใช้เป็นแนวทางในการอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเมืองสุโขทัยเป็นสำคัญ
ในปี ๑๒๐๕ พ่อขุนรามคำแหงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใหม่ พระองค์ทรงย้ำว่า “ลายสือไทย” นี้หรืออักษรไทยแบบนี้ เมื่อก่อนไม่มี แต่อักษรไทยแบบอื่นๆมี พ่อขุนรามคำแหงได้จารึกไว้ว่า
“เมื่อก่อนลายสือไทยนี้ บ่มี ๑๒๐๕ ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจแลใส่ลายสือไทยลายสือไทย จึงมีเพื่อพ่อขุน ผู้นั้นใส่ไว้”
ปี ๑๒๐๕ นั้นเป็นปีของมหาศักราช ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๒๖ อักษรที่ พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์ขึ้นใหม่นี้ สันนิษฐานกันว่า คงใช้วิธีผสมผสานอักษรไทยเดิม อักษรขอมหวัดเข้าด้วยกัน ให้มีความเหมาะสมและใช้สะดวกยิ่งขึ้น
สมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑o
เมื่ออนุมานเอาจากหลักฐานต่างๆ ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแล้ว กล่าวได้ว่า ในช่วงที่ยังไม่มีการติดต่อกับฝรั่งนั้น กรุงศรีอยุธยามี ธรรมเนียมการศึกษาเช่นเดียวกับกรุงสุโขทัย กล่าวคือ
๑.วัด เป็นศูนย์กลางการศึกษาทั้ง ของฆราวาสและของบรรพชิต แล้วเป็นศูนย์กลางกิจกรรม ต่างๆ ของสังคม พระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการอบรมสั่งสอนประชาชน และการที่วัดเป็นสำนักสั่งสอนวิชาการต่างๆ นั้น ได้สืบประเพณีมาจนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
๒.วิชาชีพ เช่น การทำนา ทำสวน การช่างต่าง ๆ เช่น ช่างเหล็ก ช่างทอง ช่างหล่อ ช่างบาตร ก็สอนกันในครอบครัวหรือในวงศาคณาญาติ สำหรับชายหนุ่มที่หวังจะเอาดีทางวิชาการต่อสู้และป้องกันตัว เช่น วิชามวย วิชาฟันดาบ วิชากระบี่กระบอง ก็จะเล่าเรียนจากสำนักต่างๆ
๓.ทางฝ่ายราชสำนัก นอกจากจะส่งพระราชกุมารไปศึกษากับพระสงฆ์ตามพระอารามต่าง ๆ แล้วก็มักจะมีพระมหาราชครูและ โหราธิบดีเข้ามา สอนนิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ราชประเพณี ตลอดจนวิชาการปกครอง และการรบพุ่งอื่นๆ อีกด้วย
สมัย กรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑o - ๒๓๒๕
๑.วัด เป็นศูนย์กลางการศึกษาทั้ง ของฆราวาสและของบรรพชิต แล้วเป็นศูนย์กลางกิจกรรม ต่างๆ ของสังคม พระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการอบรมสั่งสอนประชาชน และการที่วัดเป็นสำนักสั่งสอนวิชาการต่างๆ นั้น ได้สืบประเพณีมาจนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
๒.วิชาชีพ เช่น การทำนา ทำสวน การช่างต่าง ๆ เช่น ช่างเหล็ก ช่างทอง ช่างหล่อ ช่างบาตร ก็สอนกันในครอบครัวหรือในวงศาคณาญาติ สำหรับชายหนุ่มที่หวังจะเอาดีทางวิชาการต่อสู้และป้องกันตัว เช่น วิชามวย วิชาฟันดาบ วิชากระบี่กระบอง ก็จะเล่าเรียนจากสำนักต่างๆ
๓.ทางฝ่ายราชสำนัก นอกจากจะส่งพระราชกุมารไปศึกษากับพระสงฆ์ตามพระอารามต่าง ๆ แล้วก็มักจะมีพระมหาราชครูและ โหราธิบดีเข้ามา สอนนิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ราชประเพณี ตลอดจนวิชาการปกครอง และการรบพุ่งอื่นๆ อีกด้วย
สมัย กรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑o - ๒๓๒๕
แม้ว่ากรุงธนบุรีเป็นพระนครหลวงของไทยอยู่เพียง ๑๕ ปี และเป็น ๑๕ ปีแห่งการทำสงคราม ถึงกระนั้นกรุงธนบุรี ก็ยังได้วางพื้นฐานทั้งในด้านการค้า การศาสนา และอักษรศาสตร์ ไว้ให้กับ ราชอาณาจักรไทยอย่างมั่นคง ทั้งนี้ด้วย พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยแท้
การศึกษาในสมัยกรุงธนบุรี แม้จะไม่เจริญก้าวหน้านัก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นทางการศึกษาที่เป็น พื้นฐานให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ ๑ - ๔) พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒๓๔๑น
แนวการจัดการศึกษาเริ่มมีแบบแผน แบบเรียนสมัยนี้มีหนังสือจินดามณี หนังสือ ประถม ก กา และ ปฐม มาลา การศึกษาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ผิดแผกไปจากการศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่าใดนัก กล่าวคือ ในราชสำนักคงมีปราชญ์ราชบัณฑิต เป็นผู้ให้ความรู้แก่พระราชโอรส พระราชธิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนการศึกษาของสามัญชนก็อาศัยวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งให้ความรู้โดยมีพระเป็น ผู้สอนหนังสือ ให้รู้จักการอ่าน เขียน คิดเลขเป็น พร้อมทั้งสอดแทรกจริยธรรมและหลักธรรม ของพระพุทธศาสนาไปในตัว มีการกำหนดหลักการและวิธีการในการจัดการศึกษา เรียกว่า มาติกาการศึกษา
มีหลักฐานปรากฏว่า ได้มีหนังสือเรียนไว้อยู่ 5 เล่ม คือ
- ประถม ก กา
- สุบินทกุมาร
- ปฐมมาลา
- ประถมจินดามณี เล่ม 1
-
![]() | |||||
![]() | ![]() | ||||
ประถมจินดามณี เล่ม 2

ประถม ก กา สุบินทกุมาร ปฐมมาลา ประถมจินดามณี เล่ม 1,2
สมัยปฎิรูปการศึกษา รัชกาลที่ ๕-๗ พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๗๕
ในสมัยอันยาวนานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) นับได้ว่าเป็นยุคของการปฏิรูป ประเทศอย่างแท้จริง การปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการปกครอง สังคม กฎหมาย รวมทั้งการศึกษาด้วย การศึกษาตามระบบโรงเรียนได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และกลายเป็นรากฐานที่สำคัญทำให้เกิด พระราชบัญญัติประถมศึกษาใน พ.ศ.๒๔๖๔ ในการปฏิรูปทั้งหลาย ดังกล่าวมา การปฏิรูปการศึกษา มีความสำคัญเป็น พิเศษ เพราะไม่เพียงแต่มีผลต่อการศึกษาโดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการผลิตนักเรียนให้กับหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างกว้างขวางด้วย แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงการปฏิรูปควรจะได้กล่าวถึงปัจจัยที่ ทำให้เกิดการปฏิรูป การศึกษาก่อน ดังนี้
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา
1. การคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตก
2. อิทธิพลของชาวตะวันตก
3. การศึกษาในระบบโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาและ ทอดพระเนตรจากต่างประเทศ
4. ความขาดแคลนบุคคลที่มีความรู้เพื่อมารับราชการ
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษา
1. การคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตก
2. อิทธิพลของชาวตะวันตก
3. การศึกษาในระบบโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาและ ทอดพระเนตรจากต่างประเทศ
4. ความขาดแคลนบุคคลที่มีความรู้เพื่อมารับราชการ
การศึกษาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๗๕
การศึกษาไทย ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ ซึ่งเป็นปีแรกของการตั้งกระทรวงธรรมการ จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นก้าวแรกของการศึกษาไทยภายใต้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชของพระมหากษัตริย์ ไทย ๓ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๖๘) และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๗๗)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้วางแนวนโยบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญที่สุด คือ การขยายการศึกษาทั่วในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองให้กว้างขวางออกไป และที่สำคัญที่สุดพระองค์ทรงเห็นว่า การศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงและขยายออกไป ให้ถึงประชาชน พลเมืองให้มากที่สุด ดังปรากฏข้อความในประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๘ ตอนหนึ่งว่า “...ด้วยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า วิชาหนังสือ เป็นต้นเค้าคุณความเจริญของ ราชการบ้านเมืองยิ่งกว่าศิลปศาสตร์วิชาการอย่างอื่นๆ ทั้งสิ้น...”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราโชบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญ คือ ส่งเสริมการขยายการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วๆ ไป ออกไปให้กว้างขวาง โดยได้ออกพระราชบัญญัติบังคับ เด็กเข้า เล่าเรียน ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ทรงพยายามส่งเสริมการศึกษาด้านวิชาชีพ และการศึกษาในระดับสูงขึ้นไป อันได้แก่ มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา รวมทั้งทรงส่งเสริมจัดการศึกษาเพื่อสร้างความรู้สึกนิยมแก่ประชาชนด้วย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางแนวนโยบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญคือ ขยายการ ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติประถมศึกษาออกไปให้กว้างขวาง ส่งเสริมการเรียนวิชาชีพในโรงเรียนทุกระดับ โดย เฉพาะระดับประถมศึกษา รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ดังได้ทรงกล่าวไว้ในที่ประชุมสมุหเทศาภิบาล คราวหนึ่ง ว่า “การศึกษาสมัยนี้ควรถือเอาคุณภาพ (Quality) ไม่ใช่ถือเอาจำนวน (Quantity)
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางแนวนโยบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญคือ ขยายการ ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติประถมศึกษาออกไปให้กว้างขวาง ส่งเสริมการเรียนวิชาชีพในโรงเรียนทุกระดับ โดย เฉพาะระดับประถมศึกษา รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ดังได้ทรงกล่าวไว้ในที่ประชุมสมุหเทศาภิบาล คราวหนึ่ง ว่า “การศึกษาสมัยนี้ควรถือเอาคุณภาพ (Quality) ไม่ใช่ถือเอาจำนวน (Quantity)
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๗๕ รัฐได้ประกาศใช้แผนการศึกษา รวม ๖ ฉบับ คือ
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๔๕
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๐
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๒
- โครงการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๖
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๘
- โครงการศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔
กล่าวโดยสรุป นโยบายการศึกษาไทย ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๗๕ นับเป็นยุคเริ่มแรกหรือ ก้าวแรก ของการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงธรรมการ) รัฐได้พยายามที่จะขยายการศึกษาออกไปสู่ ประชาชนอย่างกว้างขวางในทุกระดับในกรุงเทพฯ และตามหัวเมือง โดยมุ่งเน้นในระดับประถมศึกษา เป็นสำคัญ กว่าระดับอื่น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์
ในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานของประชาชน เพื่อสนองตอบความต้องการของ ชาติบ้านเมือง ที่ต้องการคนเข้ารับราชการ และในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุตามนโยบาย นับได้ว่าบรรลุผลสำเร็จ พอสมควร โดยเฉพาะการจัดการศึกษา ในระดับประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาสำหรับประชาชนโดยทั่วๆ ไป ส่วนการศึกษาในระดับอื่นประสบผลสำเร็จไม่มากนัก อย่างไรก็ดีความพยายามของกระทรวงศึกษาธิการ ในยุค เริ่มแรกที่ดำเนินการปรับปรุง โครงสร้างและระบบการบริหารการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติหลายฉบับและอื่นๆล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามที่จะจัดการศึกษาของชาติให้บรรลุตามนโยบายที่กำหนดไว้
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๔๕
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๐
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๒
- โครงการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๖
- แผนการศึกษา พ.ศ. ๒๔๕๘
- โครงการศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔
กล่าวโดยสรุป นโยบายการศึกษาไทย ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๗๕ นับเป็นยุคเริ่มแรกหรือ ก้าวแรก ของการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงธรรมการ) รัฐได้พยายามที่จะขยายการศึกษาออกไปสู่ ประชาชนอย่างกว้างขวางในทุกระดับในกรุงเทพฯ และตามหัวเมือง โดยมุ่งเน้นในระดับประถมศึกษา เป็นสำคัญ กว่าระดับอื่น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์
ในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานของประชาชน เพื่อสนองตอบความต้องการของ ชาติบ้านเมือง ที่ต้องการคนเข้ารับราชการ และในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุตามนโยบาย นับได้ว่าบรรลุผลสำเร็จ พอสมควร โดยเฉพาะการจัดการศึกษา ในระดับประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาสำหรับประชาชนโดยทั่วๆ ไป ส่วนการศึกษาในระดับอื่นประสบผลสำเร็จไม่มากนัก อย่างไรก็ดีความพยายามของกระทรวงศึกษาธิการ ในยุค เริ่มแรกที่ดำเนินการปรับปรุง โครงสร้างและระบบการบริหารการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติหลายฉบับและอื่นๆล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามที่จะจัดการศึกษาของชาติให้บรรลุตามนโยบายที่กำหนดไว้
สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๕o๓
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราช มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้ส่งผลกระทบต่อด้านการเมือง การบริหารการเศรษฐกิจ สังคม และทางการศึกษาของชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา “คณะราษฎร์” กำหนดไว้ว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎรทุกชนชั้น” เพื่อประโยชน์ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และมีเจตนาที่จะพัฒนาการศึกษาของชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๕๐๓ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับถาวร ฉบับชั่วคราว และฉบับแก้ไข จำนวน ๑๕ ฉบับ มีรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ๓๐ ชุด มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๑๖ ท่าน ซึ่งมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานด้านการศึกษาอยู่มาก แต่ก็ไม่ทำให้การปรับปรุง ระบบการศึกษา
ของชาติหยุดชะงักไปและในยุคนี้เป็นยุคที่เชื่อมโยงในการจัดการศึกษาของไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชกับระบอบประชาธิปไตย แนวนโยบายที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ในยุคนี้พอจะแยกออกเป็น ๓ ระยะ คือ
ของชาติหยุดชะงักไปและในยุคนี้เป็นยุคที่เชื่อมโยงในการจัดการศึกษาของไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชกับระบอบประชาธิปไตย แนวนโยบายที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ในยุคนี้พอจะแยกออกเป็น ๓ ระยะ คือ
- ระยะแรก (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๔๘๕) นโยบายในการจัดการศึกษาในช่วง ๑๐ ปีแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะเป็นการ ขยายการศึกษาระดับ ประถมศึกษาออกไปให้มากยิ่งขึ้นและให้ความสำคัญมากกว่าระดับอื่น ส่วนในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษานั้น เป็นการขยายด้านปริมาณและปรับปรุงคุณภาพ
- ระยะที่สอง (พ.ศ. ๒๔๘๕ - ๒๔๙๓) ช่วงแรกของระยะที่สอง ประเทศตกอยู่ภายใต้ภาวะสงคราม นโยบายการบริหารราชการ แผ่นดิน จึงเน้นหนักในด้านการทหาร และการป้องกันประเทศ ส่วนในด้านการศึกษา จึงไม่ค่อยชัดเจนนัก ภายหลังสงคราม (พ.ศ. ๒๔๘๘) รัฐบาลได้ปรับปรุงการศึกษาของชาติหลายประการ นโยบายในการจัดการศึกษาได้เด่นชัดขึ้นทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับ ปริมาณ และคุณภาพในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา การศึกษาผู้ใหญ่ อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยรัฐบาลต้องเอาใจใส่และทำนุบำรุง การศึกษาของชาติ ทุกระดับ
- ระยะที่สาม (พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๕๐๓) มีรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ๗ ชุดเป็นช่วงหนึ่งที่มีความสำคัญ ช่วงการศึกษา ของชาติ เป็นช่วงที่มีการปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาให้เจริญก้าวหน้าในทุกด้านและทุกระดับที่ปรากฏเด่นชัดที่สุด เช่น รัฐบาลจะ ส่งเสริมการศึกษาในทางปริมาณและคุณภาพ จะวางรากฐานเพื่อให้ประชาชนมีพื้นความรู้สูงขึ้น และมีความสามารถที่จะประกอบอาชีพ ได้ดี พร้อมจะส่งเสริมให้ประชาชนมีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ด้วยการอาศัยการศาสนาและการศึกษาเป็นหลัก ในการจัด การศึกษาของชาติ ก็คือ “แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔” ได้กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาเป็นสี่ส่วนนั้น ได้แก่ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา
ในยุคนี้ได้มีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ รวม ๓ ฉบับ คือ
๑. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๕
๒. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙
๓. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔
๑. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๕
๒. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙
๓. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔
กล่าวโดยสรุปแล้ว นโยบายการจัดการศึกษาระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๕๐๓ ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มุ่งที่การขยาย การศึกษาภาคบังคับออกไปให้กว้างขวาง พร้อมทั้งผลิตครูให้เพียงพอในช่วงกลางของยุค (๒๔๘๔ - ๒๔๘๗) ทั่วโลกตกอยู่ภายใต้ภาวะของสงคราม รวมทั้งประเทศไทยด้วย นโยบายในการจัดการศึกษาจึงไม่ค่อยชัดเจนนัก ภายหลังสงครามโลก ครั้งที่ ๒ รัฐบาลได้มีแนวนโยบายในการดำเนินงาน จัดการศึกษา โดยที่จะปรับปรุงการศึกษาในทุกด้าน ทุกระดับ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในระดับ ประถมศึกษาที่เป็นการศึกษาภาคบังคับ รวมทั้งให้ทุนอุดหนุนการจัดการศึกษาของเอกชน การพัฒนาการศึกษาในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๒๐ ได้ขยายการศึกษาทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กร ระหว่างประเทศ
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการได้ผลักดันให้มีการประกาศใช้แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ และปรับปรุงหลักสูตรระดับการศึกษา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่สำคัญ คือ มีการขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น ๗ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๐๖ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้มีการโอนการศึกษาประชาบาลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในยุคนี้มีจุดที่น่าสนใจ คือ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๑๗ การศึกษาในสายอาชีวศึกษามีผู้สนใจจะเข้าศึกษาน้อยมาก แต่เพิ่มมากขึ้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๒๙ แต่ในขณะเดียวกันระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๑๕ มีการผลิตนักเรียนฝึกหัดครูเป็นจำนวนมากและภายหลังได้ลดความนิยมลงไป เนื่องจากว่า มีบางส่วนหลังจากที่สำเร็จออกมาแล้ว ไม่มีงานทำ ทางด้านภาคเอกชนหันมาให้ความสนใจในการจัดการพัฒนาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาแทนการจัดการศึกษาในระดับประถม มากขึ้น
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๒๐ ได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๙ ท่าน เข้ามาบริหารราชการ และได้วางแนวนโยบายในการ บริหารงานการพัฒนาการศึกษาของชาติ โดยจัดเอาแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นแผนแม่บท ในยุคนี้ ได้มีการประกาศใช้แผนการศึกษาหรือได้มี การประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๓ และต่อมาในการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการได้ถือเอาแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น แผนแม่บท และดำเนินการ
การจัดหลักสูตรการศึกษาสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ปัจจุบัน
ใน พ.ศ.๒๓๗๔ มีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.๒๔๗๕ และต่อมามีการปรับปรุงแผนการศึกษาชาติ พ.ศ.๒๔๗๙ เพื่อให้เหมาะสมกับการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย และได้มีการปรับปรุงหลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็นระยะๆดังนี้
๑. ประมวลศึกษาภาค ๒ หลักสูตรชั้นประถมศึกษา มัธยมต้นและมัธยมปลาย พ.ศ. ๒๔๘๐
๒. หลักสูตรประถมศึกษา และหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๑
๓. หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๙๓
๔. หลักสูตรประถมศึกษา และหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๘
๕. หลักสูตรประถมศึกษาสำหรับใช้ในโรงเรียนปรับปรุง ป.๑ และ ป.๒ พ.ศ. ๒๕๐๑
๖. หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนต้น หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้นและหลักสูตรประโยค มัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๐๓
๗. หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๑๘
๘. หลักสูตรประโยคประถมศึกษา หมวดวิชาสังคมศึกษา หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้น หมวดวิชาสังคมศึกษาและหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษา ตอนปลาย หมวดวิชาสังคมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๐
๑. ประมวลศึกษาภาค ๒ หลักสูตรชั้นประถมศึกษา มัธยมต้นและมัธยมปลาย พ.ศ. ๒๔๘๐
๒. หลักสูตรประถมศึกษา และหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๑
๓. หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๙๓
๔. หลักสูตรประถมศึกษา และหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๘
๕. หลักสูตรประถมศึกษาสำหรับใช้ในโรงเรียนปรับปรุง ป.๑ และ ป.๒ พ.ศ. ๒๕๐๑
๖. หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนต้น หลักสูตรประโยคประถมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้นและหลักสูตรประโยค มัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๐๓
๗. หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๑๘
๘. หลักสูตรประโยคประถมศึกษา หมวดวิชาสังคมศึกษา หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนต้น หมวดวิชาสังคมศึกษาและหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษา ตอนปลาย หมวดวิชาสังคมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๐
หลักสูตรพุทธศักราช ๒๕๒๑ - ๒๕๒๔
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๑ มุ่งให้ ผู้เรียนสามารถนำ ประสบการณ์ที่ได้จาก การเรียนไปใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนไปใช้ประโยชน์ในการ ดำรงชีวิต ให้ผู้เรียนเป็นผู้มีคุณธรรม รู้จักคิดวิจารณ์ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และเน้นให้มีทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต ระยะเวลาเรียนตลอดหลักสูตร ๖ ปี โดยยึดเด็กเป็นจุดศูนย์กลางการเรียนรู้ และ หลักสูตรมัธยมศึกษา ตอนต้น พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่มุ่งวางพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบความสามารถ ความถนัดและความสนใจ ของตนเองเน้นการส่งเสริมอาชีพท้องถิ่นและต่อมาได้
เปลี่ยนแปลงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายให้สอดคล้องกับหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและ ประกาศใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา๒๕๒๔ โครงสร้างของหลักสูตรทั้งสองฉบับนี้ จัดให้เรียนทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก วิชาบังคับมีทั้งวิชาสามัญและวิชาชีพ เน้นความสำคัญของวิชาการงานและอาชีพ การเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน ส่วนการวัดและประเมินผลใช้ระบบหน่วยการเรียน แทนระบบหน่วยกิตที่ใช้ตาม หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๑๘
เปลี่ยนแปลงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายให้สอดคล้องกับหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและ ประกาศใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา๒๕๒๔ โครงสร้างของหลักสูตรทั้งสองฉบับนี้ จัดให้เรียนทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก วิชาบังคับมีทั้งวิชาสามัญและวิชาชีพ เน้นความสำคัญของวิชาการงานและอาชีพ การเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน ส่วนการวัดและประเมินผลใช้ระบบหน่วยการเรียน แทนระบบหน่วยกิตที่ใช้ตาม หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๑๘
หลักสูตรอื่นๆ
หลักสูตรอื่นๆ หมายถึงหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่นอกเหนือจากหลักสูตรก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ตอนต้นและตอนปลาย เป็นหลักสูตรที่หน่วยงานระดับกรมของกระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้น และใช้ในสถานศึกษาในสังกัดของตน โดยมี ทั้งหลักสูตรที่เทียบระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น ตอนปลาย อนุปริญญาและหลักสูตรที่ไม่สามารถเทียบกับระดับใดๆได้ แต่ละ หลักสูตรประกอบด้วย หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เนื้อหา เวลาเรียน กำหนดเป็นชั่วโมง หน่วยกิต หน่วยการเรียน กำหนดเกณฑ์การ
วัดผล การจัดการศึกษาไว้อย่างชัดเจน และมีหลายหลักสูตรที่นำวิชาบังคับของ หลักสูตรมัธยมศึกษาไปใช้ เช่น หลักสูตรนาฎศิลป์ พระปรัยัติธรรม และอิสลามศึกษา เป็นต้น
วัดผล การจัดการศึกษาไว้อย่างชัดเจน และมีหลายหลักสูตรที่นำวิชาบังคับของ หลักสูตรมัธยมศึกษาไปใช้ เช่น หลักสูตรนาฎศิลป์ พระปรัยัติธรรม และอิสลามศึกษา เป็นต้น
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ ข้อศึกษานำมาข้อมูลไปทำการบ้านนะครับ
แสดงความคิดเห็น