วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

คลังรูปภาพ My Pictures.

https://picasaweb.google.com/lh/myphotos

หลักสูตรสถานศึกษา

หลักสูตรสถานศึกษา
ความนำ
      อาศัยอำนาจตามความในบทเฉพาะกาล มาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ วก 1166/2544 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 โดยยึดหลักความมีเอกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสัมฤทธิ์ผลตามนโยบายนี้ กระทรวงศึกษาธิการจึงกำหนดหลักสูตรแกนกลางที่มีโครงสร้างหลักสูตรยืดหยุ่น กำหนดจุดหมายที่ใช้เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในภาพรวม 12 ปี กำหนดสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้แต่ละกลุ่มสาระ และการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นช่วงชั้นละ 3 ปีนั้น กระทรวงศึกษาธิการจะจัดดำเนินการให้เฉพาะส่วนที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ (กระทรวงศึกษาธิการ 2544: 2) ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ให้สถานศึกษาเป็นผู้จัดทำสาระรายละเอียดเป็นรายปีหรือรายภาค ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณสมบัติอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ รวมถึงจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนแต่ละกลุ่มเป้าหมาย (กระทรวงศึกษาธิการ 2544: 2)
นอกจากนี้ เพื่อให้การใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 2) ได้เสนอแนวทางไว้ว่า สถานศึกษาต้องประสานสัมพันธ์และร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชน ให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนกระทรวงศึกษาธิการเองจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาให้ครอบคลุมหลักสูตรอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นสากล ในการนี้กระทรวงศึกษาธิการจะทำเอกสารประกอบหลักสูตร เช่น คู่มือการใช้หลักสูตร แนวทางการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครู เอกสารประกอบหลักสูตร กลุ่มสาระต่างๆ แนวทางการวัดและประเมินผล การจัดระบบแนะแนวในสถานศึกษา การวิจัยในสถานศึกษา และการใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาการเรียนรู้ ตลอดจนเอกสารประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้ประชาชน ผู้ปกครองและผู้เรียนมีความเข้าใจและ รับทราบบทบาทของตนในการพัฒนาตนเองและสังคม
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้แล้วนี้ ได้ดำเนินไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 27 วรรคหนึ่งที่บัญญัติไว้ว่าให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อและในวรรคสองที่ว่าให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
จากหลักฐานด้านเอกสารดังเสนอไว้ข้างต้นนี้ จะเห็นความเชื่อมโยงของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสถานศึกษาจะต้องวิเคราะห์กำหนดสาระรายละเอียดที่จะนำมาจัดรายวิชา พร้อมทั้งเพิ่มเติมสาระในส่วนที่เกี่ยวข้อง สอดคล้อง สนองความต้องการของนักเรียน โรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่นเป็นหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งมีความหมายครอบคลุมหลักสูตรท้องถิ่นด้วยแล้ว ดังนั้นบทบาทของสถานศึกษาและคณะครูต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อให้เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้รับการสนองตอบและนำไปปฏิบัติโดยสถานศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสถานศึกษา สาระในบทนี้จึงมุ่งนำเสนอความรู้ แนวคิด แนวทาง และการกระทำที่เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยครอบคลุมในเนื้อหา 3 ประเด็นหลัก คือ แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา กระบวนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
เรื่องที่ 5.1
แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
      มนุษย์ส่วนใหญ่จะปฏิบัติงานและกระทำการใด ๆ ตามความรู้ ความเชื่อ และแนวคิดของตนเอง ดังนั้น การที่ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จะกระทำการและปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด จึงขึ้นอยู่กับความรู้และแนวคิดที่มีเหตุผลและความถูกต้อง อันจะเป็นแนวทาง ขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว
      1. ความสำคัญของหลักสูตรสถานศึกษา ในอดีตสถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดหมายตามหลักสูตรกลางที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้เท่านั้น ปัจจุบันแนวความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไป มีการกระจายอำนาจและมอบหมายให้สถานศึกษามีอำนาจตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น จึงมีผู้นำแนวความคิดนี้บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพื่อให้บังเกิดผลในการปฏิบัติ ดังข้อความในวรรคสอง มาตรา 27 ที่ว่า ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ (สำนักงานปฏิรูปการศึกษา ม.ป.ป.: 15)
จากข้อความตามวรรคนี้แสดงว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะต้องจัดทำสาระในรายละเอียดตามกรอบของหลักสูตรแกนกลางและจัดทำหลักสูตรอื่นบางส่วนเพิ่มเติม เพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนและความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นบทบาทของสถานศึกษาโดยเฉพาะผู้บริหารและคณะครูจะต้องรับผิดชอบงานทางด้านการจัดทำรายละเอียดของหลักสูตรในทุกเนื้อหาสาระเพิ่มเติมทั้งนี้เพื่อให้หลักสูตรตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นให้มากที่สุด ประกอบกับสถานศึกษามีบุคลากรที่มีความพร้อมที่จะกำหนด รายละเอียดสาระของหลักสูตรเพิ่มเติมได้เองในการพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษานั้น นอกจากเป็นบทบาทของบุคลากรของสถานศึกษาโดยตรงแล้ว สถานศึกษาอาจเชิญนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ มาช่วยจัดทำหลักสูตรให้แก่สถานศึกษาได้ มาช (Marsh, 1997: 8) ได้กล่าวว่า ผู้ที่จะจัดทำหลักสูตรให้แก่โรงเรียนมาจากหลายแหล่ง จากบุคลากรในโรงเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันอุดมศึกษา กลุ่มบุคคลจากอุตสาหกรรมและชุมชน เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจนถึงนักการเมืองการที่บุคคลของสถานศึกษามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร โดยเฉพาะผู้บริหารและครูผู้สอน จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าถึงและเข้าใจความสำคัญ ทิศทางของหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างแท้จริง เพราะได้มีการอภิปราย การตรวจสอบ และการหาข้อยุติอย่างรอบคอบ เป็นที่แน่ชัดว่าการจัดการเรียนการสอนของครูที่ดำเนินตามหลักสูตรที่ตนมีส่วนร่วมสร้างขึ้นมาเอง จะทำให้การจัดการสอนสนองความต้องการของผู้เรียนและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้มากกว่าการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่มีผู้กำหนดมาให้เรียบร้อยแล้วนักวิชาการด้านการพัฒนาหลักสูตรต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การกระจายอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรเป็นเรื่องจำเป็นและมีความสำคัญ จึงบัญญัติศัพท์ที่เกี่ยวกับแนวคิดในการสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดทำหลักสูตรเองไว้มากมาย เช่น การพัฒนาหลักสูตรที่ยึดโรงเรียนเป็นฐาน (School-based curriculum development) การพัฒนาหลักสูตรที่ยึดโรงเรียนเป็นหลัก (School-focused curriculum development) พร้อมทั้งมีความพยายามที่จะมอบอำนาจการตัดสินใจและการบริหารจัดการให้แก่ครูใหญ่หรือผู้บริหารโรงเรียน โดยบัญญัติศัพท์เรียกแนวความคิดนี้ว่า การบริหารจัดการที่ยึดแหล่งปฏิบัติการเป็นฐาน (Site-based Management) หรือการบริหารจัดการที่ยึดโรงเรียนเป็นฐาน (School-based Management) เป็นต้น
สเตอร์แมน (Sturman, 1989) ได้สรุปถึงประโยชน์หรือข้อดีของการกระจายอำนาจทั้งการบริหารจัดการและการพัฒนาหลักสูตรไปสู่สถานศึกษาไว้ดังนี้
1. มีความสามารถที่จะตัดสินใจให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของท้องถิ่นได้ดีขึ้น
2. มีศักยภาพที่จะสร้างความกระตือรือร้นระหว่างผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
3. มีศักยภาพที่จะส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยได้ดีขึ้น โดยชักจูงการดึงให้บุคลากรเข้าร่วมกิจกรรมการตัดสินใจมากขึ้น
4. มีศักยภาพในการส่งเสริมให้เกิดโครงสร้างการทำงานที่มีลักษณะเป็นนวัตกรรมมากขึ้น
5. มีประสิทธิภาพในการจัดการศึกษามากขึ้น หลีกเลี่ยงหรือลดการใช้โครงสร้างการทำงานแบบเดิมลง
6. มีศักยภาพในการนำทรัพยากรของรัฐมาใช้ เพื่อให้เกิดการตอบสนองความต้องการที่เหมาะสมมากขึ้น
7. ลดความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
8. เปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่ด้อยโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม
9. ส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างเป็นวัตถุวิสัย
ประโยชน์อีกประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากการที่สถานศึกษาได้จัดทำหลักสูตรขึ้นใช้เอง ก็คือสามารถสนองความต้องการ ความถนัด และความสามารถของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง แม้หลักสูตรกลางจะกำหนดเป็นหลักการไว้ว่าเป็นการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนค้นพบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเอง” (กระทรวงศึกษาธิการ 2533: 1) แต่ก็มักจะไม่ค่อยบรรลุเจตนารมณ์ที่วางไว้แม้ในอดีตและปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะโดยข้อเท็จจริง สภาพโรงเรียนและธรรมชาติของผู้เรียนในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างและความหลากหลายค่อนข้างสูง เนื้อหาสาระและรายวิชาต่าง ๆ ที่กำหนดจากส่วนกลางไม่สามารถสนองความต้องการเฉพาะดังกล่าวของโรงเรียนได้ การส่งเสริมให้โรงเรียนกำหนดรายละเอียดของ หรือหลักสูตรแกนกลางหลักสูตรในบางรายวิชาเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับท้องถิ่นและความต้องการของผู้เรียน จึงเป็นทางออกที่จะแก้ปัญหาความจำกัดของความหลากหลายของหลักสูตรได้
      2. วิธีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยหลักการทั่วไป ขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรในระดับชาติหรือระดับสถานศึกษา จะมีวิธีดำเนินการในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ เริ่มด้วยการกำหนดจุดหมายของหลักสูตร การกำหนดเนื้อหาสาระ การนำหลักสูตรไปใช้ การประเมินหลักสูตร และการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อย่างไรก็ตาม แต่ละขั้นตอนอาจมีการกระจายกิจกรรมให้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้นได้ เพื่อให้เหมาะสมกับธรรมชาติของหลักสูตรแต่ละระดับหรือแต่ละประเภททาบา (Taba, 1962) นักพัฒนาหลักสูตรชาวอเมริกัน ให้ความเห็นสนับสนุนให้โรงเรียนเป็นผู้จัดทำหลักสูตรเอง โดยยึดหลักการดำเนินการจากระดับล่างหรือระดับรากหญ้า ทาบามีความเชื่อว่าครูใน โรงเรียนซึ่งเป็นผู้สอนโดยตรงควรจะเป็นผู้จัดทำหลักสูตรเองมากกว่าส่วนกลางหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นผู้จัดทำและจัดส่งมาให้ และกล่าวว่าครูควรจะเริ่มกระบวนการพัฒนาหลักสูตรจากการสร้างหน่วยการเรียนการสอนในเนื้อหาเฉพาะสำหรับเด็กในโรงเรียนก่อน ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปการศึกษาในครั้งนี้
ทาบา (Taba, 1962) ได้กำหนดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในระดับโรงเรียนออกเป็น 5 ขั้นตอน ซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับบริบทของประเทศไทย ดังนี้
1. การผลิตหน่วยการเรียนการสอนหรือหลักสูตรเฉพาะรายวิชา การดำเนินการจะเป็นไปในลักษณะนำร่องกระบวนการจัดทำหลักสูตรในลักษณะหน่วยการเรียนหรือหลักสูตรเฉพาะรายวิชา มี
กิจกรรมดำเนินการ 8 ประการ ดังนี้
1.1 การวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน ในขั้นนี้คณะกรรมการหลักสูตรของโรงเรียนจะสำรวจความต้องการของผู้เรียนเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำหลักสูตร โดยพิจารณาจากช่องว่าง จุดบกพร่องและความหลากหลายแห่งภูมิหลังของผู้เรียน
1.2 การกำหนดจุดหมาย ภายหลังจากได้วิเคราะห์ความต้องการของนักเรียนแล้ว ผู้วางแผนหลักสูตรจะช่วยกันกำหนดจุดหมายที่ต้องการ
1.3 การเลือกเนื้อหา เนื้อหาสาระหรือหัวข้อเนื้อหาที่จะนำมาศึกษาได้มาโดยตรงจากจุดหมาย คณะผู้ทำหลักสูตรไม่เพียงแต่จะต้องพิจารณาจุดหมายในการเลือกเนื้อหาเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาความสอดคล้องและความสำคัญของเนื้อหาที่เลือกด้วย
1.4 การจัดเนื้อหา เมื่อได้เนื้อหาสาระแล้ว งานขั้นต่อไปคือ การจัดลำดับเนื้อหา ซึ่งอาจจัดตามลำดับจากเนื้อหาที่ง่ายไปสู่เนื้อหาที่ยาก หรืออาจจัดตามลักษณะหรือธรรมชาติของเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้ การจัดเนื้อหาที่เหมาะสมควรจะสอดรับกับวุฒิภาวะของผู้เรียน ความพร้อมของผู้เรียนและระดับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
1.5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ ผู้พัฒนาหลักสูตรจะต้องเลือกวิธีการหรือยุทธวิธีที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้กับเนื้อหาได้ นักเรียนจะทำความเข้าใจเนื้อหาผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่นักวางแผนหลักสูตรและครูเป็นผู้เลือก
1.6 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูเป็นผู้ตัดสินวิธีการที่จะจัดและกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ และการจัดลำดับขั้นตอนของการใช้กิจกรรม ในขั้นนี้ครูจะปรับยุทธวิธีให้เหมาะกับนักเรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูรับผิดชอบ
1.7 การกำหนดสิ่งที่จะต้องประเมินและวิธีการในการประเมิน ครูผู้สอนในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรจะต้องประเมินและตรวจสอบให้ได้ว่าหลักสูตรดังกล่าวบรรลุจุดหมายหรือไม่ ครูผู้สอนจะต้องเลือกเทคนิควิธีอย่างหลากหลายเพื่อใช้ให้เหมาะสมกับการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และให้สามารถบอกได้ว่าจุดหมายของหลักสูตรได้รับการตอบสนองหรือไม่
1.8 การตรวจสอบความสมดุลและลำดับขั้นตอน ผู้จัดทำหลักสูตรจะต้องมุ่งเน้นที่การจัดทำหลักสูตรหรือหน่วยการเรียนการสอนให้คงเส้นคงวาและสอดคล้องภายในตัวหลักสูตรเอง การดำเนินการในลักษณะนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมและเกิดความสมดุลในเนื้อหาและประเภทของการเรียนรู้
2. การนำหลักสูตรหรือหน่วยการเรียนไปทดลองใช้ เมื่อคณะผู้รับผิดชอบหลักสูตรได้จัดทำหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรในรูปของสื่อหรือบทเรียนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว คณะครูก็จะนำเอกสารหลักสูตรเหล่านั้นไปทดลองสอนในชั้นเรียนที่รับผิดชอบ มีการสังเกต วิเคราะห์และเก็บรวบรวมผลการใช้หลักสูตรและการจัดกิจการรมในชั้นเรียน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปรับปรุงหลักสูตรให้สมบูรณ์ขึ้นในโอกาสต่อไป
3. การปรับปรุงเนื้อหาในหลักสูตรให้สอดคล้องกัน ในขั้นตอนนี้จะต้องปรับหน่วยการเรียนหรือหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างความสามารถของผู้เรียนกับทรัพยากรที่โรงเรียนมีอยู่และกับพฤติกรรมการสอนของครู มีการรวบรวมข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ได้จากการทดลองไว้ในคู่มือครู เพื่อจะใช้เป็นข้อสังเกตและแนวทางที่จะช่วยให้ครูได้จัดกิจกรรม การสอนอย่างรอบคอบ
4. การพัฒนากรอบงาน ภายหลังจากจัดทำบทเรียนหรือหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ผู้พัฒนาหลักสูตรจะต้องตรวจสอบหลักสูตรและสื่อในแต่ละหน่วยหรือแต่ละรายวิชา ในประเด็นของความเหมาะสมและความเพียงพอของขอบข่ายเนื้อหา และความเหมาะสมของการจัดลำดับเนื้อหา ครูหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาหลักสูตรจะต้องรับผิดชอบจัดทำหลักการและเหตุผลของหลักสูตรโดยดำเนินการผ่านกระบวนการการพัฒนากรอบงาน
5. การนำหลักสูตรไปใช้และเผยแพร่ เพื่อให้ครูที่เกี่ยวข้องนำหลักสูตรไปใช้จริงในระดับห้องเรียนอย่างได้ผล จำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องจัดฝึกอบรมครูประจำการอย่างเหมาะสม
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั้ง 5 ขั้นตอนที่กล่าวมามีลักษณะที่เป็นเชิงวิชาการอยู่มาก ดังนั้นเมื่อมีการจัดทำหลักสูตรในสถานการณ์จริงผู้รับผิดชอบสามารถปรับปรุงกิจกรรมและขั้นตอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติของเนื้อหาวิชา สภาพท้องถิ่นและเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตามในเวลาปฏิบัติงาน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถปรึกษาหารือกับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ได้
ความได้เปรียบของการสร้างหลักสูตรโดยคณะบุคคลในสถานศึกษาก็คือ สามารถตรวจสอบผลงานและปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมได้ตลอดเวลา เพราะมีนักเรียนซึ่งพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการทดลองใช้ในทุกขั้นตอนและตลอดเวลา
      3. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตร หลักสูตรของสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องและสอดรับกับจุดหมายของหลักสูตร เมื่อพิจารณาธรรมชาติของหลักสูตรโดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรของแต่ละรายวิชาจะมีจุดเน้นในด้านหนึ่งด้านใดดังต่อไปนี้
ด้านที่หนึ่ง เป็นหลักสูตรที่เน้นทางด้านวิชาการหรือพุทธิพิสัย (cognitive domain) ในลักษณะการส่งเสริมความรู้ ความคิดและสติปัญญา
ด้านที่สอง เป็นหลักสูตรที่เน้นการเสริมสร้างทักษะทางกาย ซึ่งเน้นกลไกของร่างกายในการกระทำกิจกรรมหรือทักษะพิสัย (psychomotor domain) เช่น วิชาประเภทการงาน การอาชีพ การพลศึกษา นาฎศิลป์และดนตรี เป็นต้น
ด้านที่สาม เป็นหลักสูตรที่เน้นการปลูกฝังทัศนคติ ค่านิยม จริยธรรมและความประพฤติของผู้เรียน หรือจิตพิสัย (affective domain)
เนื่องจากวิธีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ มีลักษณะการให้ความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกทักษะต่าง ๆ ไว้จำนวนมากและหลากหลายอยู่แล้ว จึงจะไม่อธิบายซ้ำ เพราะการสอนในสองด้านแรกเป็นการสอนที่เน้นทางด้านพุทธิพิสัยและด้านปฏิบัติหรือทักษะพิสัย ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เป็นการเรียนการสอนที่ตรงไปตรงมา ตรวจสอบหรือประเมินผลได้ชัดเจนว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว อีกนัยหนึ่งก็คือสามารถบอกได้ว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้และบรรลุจุดหมายที่วางไว้หรือไม่ จึงเป็นเรื่องของการมุ่งผลสัมฤทธิ์แห่งการเรียนรู้ของผู้เรียน การวัดและประเมินผลก็สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้โดยตรง
ส่วนการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัย เป็นการเรียนรู้ที่มีความซับซ้อนกว่า เพราะเป้าหมายของการเรียนด้านนี้ต้องมุ่งถึงขั้นสามารถนำไปปฏิบัติด้วย ไม่ใช่เพียงการรู้และการเข้าใจในเรื่องจริยธรรมหรือความดีเท่านั้น แต่ที่จำเป็นต้องเน้นการเรียนรู้ทางด้านจริยธรรมเป็นกรณีพิเศษ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ตระหนักถึงจริยธรรมและคุณธรรมของเยาวชนว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงกำหนดไว้ในมาตรา 81 ว่า รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม (อักษราพิพัฒน์ 2543: 21) ส่วนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ย้ำเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ในมาตรา 24 (4) ว่าจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา” (สำนักงานปฏิรูปการศึกษา ม.ป.ป. : 13)
ตามข้อเท็จจริง การศึกษาของประเทศไทยทุกระดับได้เน้นการปลูกฝังค่านิยม จริยธรรม และคุณธรรมของผู้เรียนตลอดมา แต่การดำเนินการสอนในเรื่องดังกล่าวยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้มากนัก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ทางจริยธรรมเป็นอย่างดี แต่พฤติกรรมที่แสดงออกยังมิได้สอดคล้องกับความรู้ที่มี ดังนั้นถ้าจะสอนให้นักเรียนประพฤติและปฏิบัติตามหลักจริยธรรมอย่างแท้จริง จำเป็นจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากการเรียนรู้ทางวิชาการในห้องเรียน
โคลเบอร์ก (Kohlberg, 1970 : 120 ) ได้กำหนดวิธีการสอนจริยธรรมที่ได้ผลกับนักเรียน 2 วิธี ดังนี้
วิธีแรก เป็นการสอนระดับห้องเรียน ยึดการอภิปรายปัญหาจริยธรรมเพื่อมุ่งเน้นการหาเหตุผลที่ดีในการประพฤติตนให้เป็นคนดีตามหลักจริยธรรม โดยยกกรณีปัญหาจริยธรรมมาเป็นสื่อในการอภิปราย การสอนตามวิธีการนี้ ครูต้องมีความสามารถในการดูแล กระตุ้นและตะล่อมทิศทางในการหาเหตุผลที่เหมาะสมของผู้เรียนมาประกอบการอภิปราย
วิธีที่สอง เป็นการสอนจริยธรรมจากสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง เป็นหลักสูตรแฝง (Hidden curriculum) ซึ่งดูเหมือนว่าโคลเบอร์กจะให้ความสำคัญแก่การสอนจริยธรรมตามแนวหลักสูตรแฝงเช่นนี้มากกว่า เช่นเดียวกับพอสเนอร์ (Posner, 1992 :11) ซึ่งให้ความสำคัญของหลักสูตรแฝงโดยกล่าวว่า หลักสูตรแฝงเป็นหลักสูตรที่บุคลากรในโรงเรียนอาจไม่ได้รับรู้อย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลโดยตรงต่อนักเรียนอย่างลุ่มลึกและยาวนานมากกว่าหลักสูตรที่เป็นทางการของโรงเรียน
นักพัฒนาหลักสูตรหลายคนเชื่อว่า หลักสูตรที่เป็นทางการไม่สามารถสอนจริยธรรมและค่านิยมให้แก่นักเรียนได้ดีเท่าหลักสูตรแฝง และเรียกชื่อหลักสูตรประเภทนี้หลายชื่อ เช่น Implicit curriculum (Goodlad, 1984) และ Unstudied curriculum (Saylor & Alexander, 1974) ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับ หลักสูตรแฝง หรือ Hidden curriculum
ในทำนองเดียวกัน นักสังคมวิทยาได้บัญญัติคำว่า “socialization” หรือการขัดเกลาทางสังคมนำมาใช้อธิบายการเรียนรู้จริยธรรม ค่านิยมและพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนที่ใกล้ชิดกับเด็ก ว่าเป็นการเรียนรู้จากตัวแบบหรือแบบอย่างของผู้ใหญ่ เด็กจะแยกไม่ออกว่าพฤติกรรมใดดีหรือพฤติกรรมใดไม่ดี ถ้าผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กเป็นคนดี ผู้ใหญ่หรือสังคมจะต้องเสนอตัวแบบหรือตัวอย่างพฤติกรรมที่ดีงามให้เด็กได้เลียนแบบ   การสอนจริยธรรมที่ไม่ได้ผลมักเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนให้เด็กปฏิบัติกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเด็กมักจะประพฤติและปฏิบัติตนตามที่ผู้ใหญ่หรือสังคมปฏิบัติกัน มากกว่าที่ครูสอนหรือที่ผู้ใหญ่ปรารถนาจะให้เด็กนำไปประพฤติและปฏิบัติ ซึ่งต้องยอมรับว่าสังคมไทยมีพฤติกรรมแบบอย่างของผู้ใหญ่และสังคมที่ไม่พึงปรารถนาให้เห็นเป็นจำนวนมาก แบบอย่างเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการสอนจริยธรรมและคุณธรรมในครอบครัว และในโรงเรียน   ถ้าจะให้การสอนจริยธรรมในโรงเรียนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ผู้บริหารและครูทุกคนในโรงเรียนต้องเข้าใจอิทธิพลของหลักสูตรแฝง และต้องร่วมใจกันสร้างบรรยากาศในโรงเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้จริยธรรมของนักเรียน กล่าวคือ ผู้บริหารจะต้องริเริ่มและประชุมหารือกับครูและบุคลากรทุกประเภทในโรงเรียน เพื่อร่วมสร้างแบบอย่างที่ดีทางจริยธรรมให้แก่นักเรียน นั่นคือ ถ้าจะสอนให้นักเรียนเป็นคนดี มีจริยธรรม ผู้บริหาร ครู และบุคลากรในโรงเรียนทุกคนต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีจริยธรรมก่อน มีการสร้างกฎเกณฑ์ มาตรฐานและระเบียบแบบแผนหรือวัฒนธรรมของโรงเรียนที่เอื้อและส่งเสริมการเรียนรู้และการปฏิบัติตนเชิงจริยธรรมของผู้เรียนให้ถูกต้อง   นอกจากนี้ โรงเรียนจะต้องส่งเสริมการทำกิจกรรมพิเศษของนักเรียน เช่น โดยการจัดชุมนุม สโมสร และกิจกรรมพิเศษที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทำงานและอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น มีความเคารพต่อกัน มีความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อกัน มีความรับผิดชอบซื่อสัตย์ต่อกัน และคุณสมบัติอื่นๆ ที่ส่งเสริมความมี จริยธรรม แม้ในปัจจุบันนี้สถานศึกษาทั่วไปได้จัดกิจกรรมดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ยังขาดคุณภาพและทิศทางของการจัดกิจกรรม ในโอกาสต่อไปนี้ เมื่อสถานศึกษาได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินกิจกรรมการศึกษาเองทั้งหมด ตามหลักการบริหารจัดการที่ใช้โรงเรียนเป็นฐาน ผู้บริหารและครูอาจารย์ในโรงเรียนจะต้องมุ่งมั่นและร่วมมือกันวางแผน กำหนดทิศทางและจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมจริยธรรมของผู้เรียนตามแนวคิดและแนวทางที่ได้กล่าวมาแล้วที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นแนวความคิดและแนวปฏิบัติทั่วไปอย่างกว้างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรโดยสถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ เนื้อหาสาระในลำดับต่อไปจะกล่าวถึงแง่มุมและรายละเอียดของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่นำไปปฏิบัติจริงต่อไป
กระบวนการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
แม้ว่าการพัฒนาหลักสูตรที่ใช้โรงเรียนเป็นฐาน หรือหลักสูตรสถานศึกษา ตามนัยแห่งหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มุ่งหวังจะให้สถานศึกษาดำเนินการจัดทำรายละเอียดของเนื้อหาสาระในหลักสูตรขั้นพื้นฐานเพิ่มเติม แต่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ก็ยังเน้นความสำคัญของเนื้อหาสาระ ประเภท สภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน และสังคม ดังนั้นนอกจากภารกิจหลักของสถานศึกษาที่จะจัดทำรายละเอียดของหลักสูตรขั้นพื้นฐานตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดกรอบแล้ว สถานศึกษายังต้องพิจารณาและจัดทำสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม นอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องและสนองความต้องการของผู้เรียนที่ดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น หรือชุมชนที่มีความแตกต่างกัน
เพื่อให้สถานศึกษาประสบความสำเร็จในการพัฒนาหลักสูตรและจัดทำเนื้อหาสาระของหลักสูตรทั้งสองประเภทดังกล่าวข้างต้น จึงขอเสนอรายละเอียด มิติ และมุมมองที่มีต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังนี้
จุดหมายของหลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาเป็นแหล่งของการแสวงหาความรู้ สถานศึกษาจึงต้องมีหลักสูตรของตนเอง กล่าวคือ หลักสูตรสถานศึกษาประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งมวลและประสบการณ์อื่นๆ ที่สถานศึกษาแต่ละแห่งวางแผนเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยจะต้องจัดทำสาระการเรียนรู้ทั้งรายวิชาที่เป็นพื้นฐานและรายวิชาที่ต้องเรียนเพิ่มเติมเป็นรายปีหรือรายภาค จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนทุกภาคเรียนและกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์จากมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สถานศึกษาจะต้องทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชน ท้องถิ่น วัด หน่วยงานและสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดผลตามจุดมุ่งหมายที่สำคัญของหลักสูตร 2 ประการ ดังนี้
      1. หลักสูตรสถานศึกษาควรพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความสนุกและความเพลิดเพลินในการเรียนรู้ เปรียบเสมือนเป็นวิธีการสร้างกำลังใจและเร้าใจให้เกิดความก้าวหน้าแก่ผู้เรียนให้ได้มากที่สุด ให้ผู้เรียนทุกคนมีความรู้สูงสุดตามศักยภาพของแต่ละคน โดยควรสร้างความเข้มแข็ง ความสนใจและประสบการณ์ให้ผู้เรียน และพัฒนาความมั่นใจให้เรียนและทำงานอย่างเป็นอิสระและร่วมใจกัน ควรให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้สำคัญ ๆ ในการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น ได้ข้อมูลสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีสื่อสาร ส่งเสริมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น และมีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล
      2. หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะพัฒนาหลักการในการจำแนกระหว่างถูกและผิด ความเข้าใจและศรัทธาในความเชื่อของตน ความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันว่า สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อตัวบุคคลและสังคม หลักสูตรสถานศึกษาต้องพัฒนาหลักคุณธรรมและความอิสระของผู้เรียน และช่วยพัฒนาให้เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ สามารถพัฒนาสังคมให้เป็นธรรม มีความเสมอภาค ควรพัฒนาความตระหนัก เข้าใจ และยอมรับสภาพแวดล้อมที่ตนดำรงชีวิตอยู่ ยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกันต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับส่วนตน ระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับโลก หลักสูตรสถานศึกษาควรสร้างให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเป็นผู้บริโภคที่ตัดสินใจแบบมีข้อมูล เป็นอิสระและเข้าใจในความรับผิดชอบของตน
จุดหมายของหลักสูตรสถานศึกษาทั้งสองประการข้างต้นนี้ เป็นเพียงกรอบหรือแนวทางที่จะให้สถานศึกษาได้นำไปพิจารณา และกำหนดเป็นรายละเอียดจุดหมายในแต่ละสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในท้องที่ หมู่บ้าน ตำบล และชุมชน ที่มีสภาพภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และค่านิยมที่แตกต่างกัน

การสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาจะต้องสนองตอบการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนองตอบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผู้สอนต้องปรับปรุงกระบวนการสอนและประเมินกระบวนการสอนของตน ให้สนองตอบความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การศึกษาจะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ถ้ามีการปรับปรุงหลักสูตรตลอดเวลา สถานศึกษาจึงควรดำเนินการในการจัดทำหลักสูตร ดังนี้
1. กำหนดวิสัยทัศน์
สถานศึกษาจำเป็นต้องกำหนดวิสัยทัศน์เพื่อมองอนาคตว่า โลกและสังคมรอบ ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สถานศึกษาจะต้องปรับตัว ปรับหลักสูตรอย่างไร จึงจะพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย สถานศึกษาต้องมีวิสัยทัศน์ในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา หมายความว่า ผู้บริหารและบุคลากรของสถานศึกษาสามารถมองเห็นและคาดการณ์ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตที่จะมีผลต่อความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อันจะนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การศึกษาค้นคว้า และการติดตามความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษาจะทำให้สถานศึกษาเกิดวิสัยทัศน์ขึ้นได้
นอกจากนี้การกำหนดวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาจำเป็นจะต้องอาศัยประสบการณ์และความร่วมมือของชุมชน บิดามารดา ผู้ปกครอง ครูผู้สอน ผู้เรียน ภาคธุรกิจ ภาครัฐในชุมชน ร่วมกันกับคณะกรรมการสถานศึกษา ในการแสดงความประสงค์หรือวิสัยทัศน์ที่ปรารถนาให้สถานศึกษาเป็นสถาบันพัฒนาผู้เรียนที่มีพันธกิจหรือภาระหน้าที่ ร่วมกันในการกำหนดงานหลักที่สำคัญของสถานศึกษา พร้อมด้วยเป้าหมาย มาตรฐาน แผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการ และการติดตามผล ตลอดจนจัดทำรายงานแจ้งสาธารณชน และส่ง ผลย้อนกลับ ให้สถานศึกษาเพื่อปฏิบัติงานที่เหมาะสมและได้มาตรฐานสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติ
2. การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
จากวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้ สถานศึกษาจะต้องจัดทำสาระการเรียนรู้ จากช่วงชั้นให้เป็นรายปีหรือรายภาค พร้อมกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้ครูทุกคนนำไปออกแบบการเรียนการสอน การบูรณาการโครงการร่วม เวลาเรียน การมอบหมาย/โครงงาน แฟ้มผลงานหรือการบ้าน โดยวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษา หลักสูตรดังกล่าวจะเป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่ครอบคลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา
3. การกำหนดสาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค
สถานศึกษาวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของกลุ่มสาระต่าง ๆ จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้เป็นรายปีหรือรายภาคให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาด้วย พิจารณากำหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล พร้อมทั้งพิจารณาใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และสามารถกำหนดในลักษณะผสมผสานบูรณาการ จัดเป็นชุดการเรียนแบบยึดหัวข้อเรื่อง หรือจัดเป็นโครงงานได้
4. การออกแบบการเรียนการสอน
จากสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง รายปีหรือรายภาค สถานศึกษาต้องมอบหมายให้ครูผู้สอนทุกคนออกแบบการเรียนการสอน โดยคาดหวังว่าผู้เรียนสามารถทำอะไรได้ในแต่ละช่วงชั้น เช่น ช่วงชั้นที่ 1 ซึ่งมีชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 นั้น ผู้เรียนจะเรียนรู้สาระของแต่ละเรื่องที่กำหนดได้ในระดับใด ยกตัวอย่างวิชาคณิตศาสตร์ ที่มีสาระที่ 1 : จำนวนและการดำเนินการ และมีมาตรฐาน ค 1.1 : เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใช้จำนวนในชีวิตจริง ผู้เรียนในช่วงชั้นนี้จะสามารถทำอะไรได้ เช่น ในช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นไว้ข้อหนึ่งว่า มีความคิดรวบยอดและความรู้สึกเชิงจำนวนเกี่ยวกับจำนวนนับและศูนย์ และผู้เรียนในช่วงชั้นนี้จะมีความสามารถอย่างไร เช่น ผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สามารถนับได้ 1 ถึง 100 และมากกว่า เป็นต้น การออกแบบการเรียนรู้จะต้องให้ผู้เรียนพัฒนาได้ทั้งด้านความรู้ ความคิด ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์และสังคม


5. การกำหนดเวลาเรียนและจำนวนหน่วยกิต
การจัดการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี สถานศึกษาต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในด้านการอ่าน การเขียน การคิดเลข การคิดวิเคราะห์ และการใช้คอมพิวเตอร์ ด้วยวิธีการสอนที่ยึดหัวข้อเรื่องจากกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์หรือสังคมศึกษาเป็นหลักตามความเหมาะสมของท้องถิ่น บูรณาการการเรียนรู้ด้วยกลุ่มสาระต่างๆ เข้ากับหัวข้อเรื่องที่เรียนอย่างสมดุล ควรกำหนดจำนวนเวลาเรียนสำหรับสาระการเรียนรู้รายปี ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 และช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ควรกำหนดจำนวนเวลาสำหรับการเรียนตามสาระการเรียนรู้รายปีให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความจำเป็นในการสอนเพื่อเน้นทักษะพื้นฐาน เช่น การอ่าน การเขียน การคิดเลข และการคิดวิเคราะห์ โดยเฉพาะช่วงชั้นที่ 1 ซึ่งจะต้องจัดให้ผู้เรียนเรียนอย่างสนุกเพลิดเพลิน ในแต่ละคาบเวลาไม่ควรใช้เวลานานเกินช่วงความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้ ผู้สอนอาจจะจัดกิจกรรมเสริม เช่น การฝึกให้เขียนหนังสือเป็นเล่ม เป็นต้น
การเรียนการสอนควรจัดกิจกรรมไปตามความสนใจของผู้เรียน ในช่วงชั้นที่ 1 ผู้สอนควรเข้าใจจิตวิทยาการสอนเด็กเล็กอย่างลึกซึ้ง สามารถบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ผสมกลมกลืน ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กโดยเฉพาะ แต่ต้องมุ่งเน้นทักษะพื้นฐานดังกล่าวด้วย สำหรับช่วงชั้นที่ 2 ผู้เรียนซึ่งได้ผ่านการเรียนการเล่นเป็นกลุ่มมาแล้ว ในช่วงชั้นนี้จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเริ่มทำงานเป็นทีม การสอนตามหัวข้อเรื่องจึงเป็นเรื่องสำคัญ หัวข้อเรื่องขนาดใหญ่สามารถจัดทำเป็นหัวข้อย่อย ทำให้ผู้เรียนรับผิดชอบไปศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อย่อยเหล่านี้ เป็นการสร้างความรู้ของตนเองและใช้กระบวนการวิจัยควบคู่กับการเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แล้วนำผลงานมาเสนอในชั้นเรียน ทำให้ผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้ผลงานของกันและกันในรูปแฟ้มสะสมผลงาน
การเรียนในช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาคบังคับ เป็นการเรียนที่มุ่งพัฒนาความสามารถ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน นอกจากสถานศึกษาจะทบทวนการเรียนรู้ในกลุ่มสาระต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่กำหนดไว้แล้ว จะต้องจัดการเรียนแบบบูรณาการเป็นโครงงานมากขึ้น เป็นการเริ่มทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจการศึกษาสู่โลกของการทำงานตามความต้องการของท้องถิ่นและสังคม นวัตกรรมด้านการสอนและประสบการณ์ในการทำงานด้านต่าง ๆ แม้แต่การเรียนภาษาก็สามารถเป็นช่องทางสู่โลกของการทำงานได้ ต้องชี้แจงให้ผู้เรียนได้ทราบว่าสังคมในอนาคตจะอยู่บนพื้นฐานของความรู้ สถานศึกษาจึงต้องจัดบรรยากาศให้มีสภาพแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างแก่สังคม และควรจัดรายวิชาหรือโครงงานที่สนองความถนัด ความสนใจของผู้เรียนเพิ่มขึ้นด้วย
การเรียนช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นหรือการประกอบอาชีพ ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนการสอนเพื่อมุ่งส่งเสริมความถนัดและความสนใจของผู้เรียนในลักษณะรายวิชาหรือโครงงาน
แนวทางการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
      เพื่อให้การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามที่คาดหวัง กระทรวงศึกษาธิการจึงกำหนดแนวทางการดำเนินงานดังนี้
1. การจัดทำสาระของหลักสูตร มีขั้นตอนดังนี้
1.1 กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค โดยวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่กำหนดไว้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และจัดเป็นผลการเรียนรู้ การกำหนดการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคควรระบุถึงความรู้ ความสามารถของผู้เรียนซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการเรียนรู้ในแต่ละปีหรือแต่ละภาคนั้น ๆ
การกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคของสาระการเรียนรู้ของรายวิชาที่มีความเข้ม (Honour Course) ให้สถานศึกษากำหนดได้ตามความเหมาะสม สอดคล้องกับการจัดรายวิชา
1.2 กำหนดสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค โดยวิเคราะห์จากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคที่กำหนดไว้ใน 1.1 ให้สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่นและของชุมชน
1.3 กำหนดเวลาและหรือจำนวนหน่วยกิตสำหรับสาระการเรียนรู้รายภาค ทั้งสาระการเรียนรู้ พื้นฐานและสาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนดเพิ่มเติมขึ้น ดังนี้
- ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 กำหนดสาระการเรียนรู้เป็นรายปีและกำหนดจำนวนเวลาเรียนให้เหมาะสมและ สอดคล้องกับมาตรฐานและสาระการเรียนรู้
- ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กำหนดสาระการเรียนรู้เป็นรายภาคและกำหนดจำนวนหน่วยกิตให้เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานและสาระการเรียนรู้
การกำหนดจำนวนหน่วยกิตของสาระการเรียนรู้รายภาคสำหรับช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ใช้เกณฑ์การพิจารณาที่ใช้เวลาจัดการเรียนรู้ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียนมีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต
สาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษาจัดทำเพิ่มขึ้นเป็นวิชาเฉพาะของสายอาชีพหรือโปรแกรมเฉพาะทางอื่น ๆ ใช้เกณฑ์การพิจารณาคือ สาระการเรียนรู้ที่ใช้เวลาจัดการเรียนรู้ระหว่าง 40-60 ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต ทั้งนี้สถานศึกษาสามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสม และใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน
1.4 จัดทำคำอธิบายรายวิชา ทำได้โดยนำผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค สาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค รวมทั้งเวลาและจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดตามข้อ 1.1 – 1.3 นำมาเขียนเป็นคำอธิบายรายวิชา ประกอบด้วยชื่อรายวิชา จำนวนเวลาหรือจำนวนหน่วยกิต มาตรฐานการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ของรายวิชานั้น ๆ
แนวทางในการกำหนดชื่อรายวิชาคือ ชื่อรายวิชาของสาระการเรียนรู้ให้ใช้ตามชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ ส่วนชื่อที่สถานศึกษาจัดทำเพิ่มเติม สามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ต้องสื่อความหมายได้ชัดเจนและสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในรายวิชานั้น
1.5 จัดทำหน่วยการเรียนรู้ โดยนำสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคที่กำหนดไว้บูรณาการจัดทำเป็นหน่วยการเรียนรู้หน่วยย่อย ๆ เพื่อสะดวกในการจัดการเรียนรู้และผู้เรียนได้เรียนรู้ในลักษณะองค์รวม หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และจำนวนเวลาสำหรับการจัดการเรียนรู้ เมื่อเรียนครบทุกหน่วยย่อยแล้ว ผู้เรียนสามารถบรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคของทุกรายวิชา
ในการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ อาจบูรณาการทั้งภายในสาระการเรียนรู้กลุ่มเดียวกัน เช่น บูรณาการสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กับเคมี ชีววิทยาและฟิสิกส์ เป็นต้น และระหว่างสาระการเรียนรู้ เช่น อาจจะบูรณาการระหว่างสาระการเรียนรู้ของวิทยาศาสตร์กับสังคมและคณิตศาสตร์ เป็นต้น หรือบูรณาการเฉพาะเรื่องตามลักษณะสาระการเรียนรู้ หรือบูรณาการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียน โดยพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน การจัดการเรียนรู้สำหรับหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละช่วงชั้น สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการปฏิบัติโครงงานอย่างน้อย 1 โครงงาน
2. การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
      สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน โดยคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
2.1 จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น การบูรณาการ โครงงาน องค์ความรู้จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นต้น
2.2 จัดกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดตามธรรมชาติ ความสามารถ และความต้องการของผู้เรียนและชุมชน เช่น ชมรมทางวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น
2.3 จัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในการทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี เป็นต้น
2.4 จัดกิจกรรมประเภทบริการด้านต่าง ๆ ฝึกการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
2.5 ประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมอย่างเป็นระบบ โดยให้ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเมินผลการผ่านช่วงชั้นเรียน

3. การกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์
      สถานศึกษาต้องร่วมกับชุมชนกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม  คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่สถานศึกษาจะกำหนดเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น สามารถกำหนดขึ้นได้ตามความต้องการ โดยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมดังกล่าวให้แก่ผู้เรียนเพิ่มจากที่กำหนดไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
ในแต่ละภาคเรียนหรือปีการศึกษา ครูผู้สอนต้องวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนโดยประเมินเชิงวินิจฉัยเพื่อปรับปรุงพัฒนาและส่งต่อ ทั้งนี้ควรประสานสัมพันธ์กับผู้เรียน ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกันประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นรายปีหรือรายภาค สถานศึกษาต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนในแต่ละช่วงชั้น เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียน และนำไปกำหนดแผนกลยุทธ์ในการปรับปรุงพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมาย แนวทางการวัดและประเมินผลด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้เป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนด
4. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
      การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียน โดยให้ผู้สอนนำกระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน และเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ มีขั้นตอนการปฏิบัติเริ่มตั้งแต่การ วิเคราะห์ปัญหา การวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนาการแก้ปัญหาหรือพัฒนา การเก็บรวบรวมข้อมูล การสรุปผลการแก้ปัญหาหรือพัฒนา การรายงานผลการเรียนรู้และการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
      การทำความเข้าใจกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาทุกขั้นตอน ในเชิงทฤษฎีหรือเชิงหลักการไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใด เมื่อนำขั้นตอนและกระบวนการนั้นไปดำเนินการ มักจะเกิดปัญหาและมีอุปสรรคอยู่เสมอ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เสมอ ความล้มเหลวของสถานศึกษาในการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจะขึ้นอยู่กับตัวแปรหรือเงื่อนไขหลายประการ ได้แก่ ความสามารถในการบริหารจัดการหลักสูตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา
การบริหารจัดการเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรของสถานศึกษามีคุณภาพและประสิทธิภาพหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยการบริหารจัดการหลักสูตรอย่างเป็นระบบนั่นเอง
ซึ่งประกอบด้วย งาน/ภารกิจที่สถานศึกษาจะต้องดำเนินการ 7 ภารกิจ คือ
1. การเตรียมความพร้อมของสถานศึกษา
      ภารกิจที่ผู้บริหารและครูผู้สอนตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมของสถานศึกษา มีดังนี้
1.1 สร้างความตระหนักให้แก่บุคลากรของสถานศึกษา ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครอง ชุมชน และนักเรียน เพื่อให้เห็นความสำคัญหรือความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันบริหารจัดการหลักสูตรของสถานศึกษา
1.2 ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการของสถานศึกษาตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544
1.3 เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงาน/องค์กรในชุมชนทุกฝ่ายได้รับทราบ และให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการหลักสูตรของสถานศึกษา
1.4 จัดทำข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาให้เป็นระบบ
1.5 จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือธรรมนูญสถานศึกษา
1.6 พัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำความรู้ไปใช้จัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
2. การจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
      คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษาและคณะอนุกรรมการระดับกลุ่มวิชา จะต้องดำเนินการจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาดังต่อไปนี้ (กรมวิชาการ 2543 : 19)
2.1 ศึกษาองค์ประกอบของหลักสูตรว่า กำหนดสาระที่เป็นแกนกลางและสาระของท้องถิ่นไว้อย่างไร และมีความสอดคล้องสัมพันธ์และสมดุลอย่างไร
2.2 วิเคราะห์ขอบข่ายเนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ทั้งองค์ประกอบด้านความรู้ทักษะ/กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม
2.3 ศึกษาสภาพปัญหาของชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความต้องการของชุมชนและสังคม
2.4 ปรับปรุงสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมในส่วนที่ต้องจัดให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน
2.5 ตรวจสอบความสอดคล้องของสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมกับมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มวิชา และมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.6 วางแผนการจัดการเรียนการสอนตามขอบข่ายสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ สัดส่วน เวลาและหน่วยกิตตามที่หลักสูตรแกนกลางกำหนด
2.7 พัฒนาแนวการจัดการเรียนการสอนเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน
นอกจากนี้ครูควรดำเนินการเพื่อให้การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษาสมบูรณ์อีก 2 ประการ นั่นคือ กำหนดสื่อการเรียนรู้และการวัดและประเมินผล
3. การวางแผนบริหารจัดการหลักสูตร
      การวางแผนบริหารจัดการหลักสูตรหรือวางแผนดำเนินการใช้หลักสูตร มีภารกิจที่ต้องดำเนินการ 3 ส่วน คือ
3.1 การบริหารการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การใช้สื่อและแหล่งการเรียนรู้อย่างหลากหลาย การสอนซ่อมเสริม การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นต้น
3.2 การบริหารการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น การวางแผนให้ครูทุกคนสามารถแนะแนวผู้เรียนได้ทั้งด้านการศึกษา อาชีพและปัญหาอื่น ๆ เป็นต้น
3.3 การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในและนอกสถานศึกษา การส่งเสริมให้ครูทำวิจัยในชั้นเรียน เป็นต้น
4. การปฏิบัติการบริหารจัดการหลักสูตร
      การดำเนินการบริหารจัดการหลักสูตรให้เป็นไปตามภารกิจที่สอง หรือการจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษา และภารกิจที่สามหรือการวางแผนบริหารจัดการหลักสูตร ซึ่งสถานศึกษาได้กำหนดไว้
5. การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผล
      การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ
5.1 การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการภายในสถานศึกษา
5.2 การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการจากภายนอกสถานศึกษา
6. การสรุปผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา
      สถานศึกษาจะต้องรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรของสถานศึกษา สรุปและเขียนรายงานผลการดำเนินงานเสนอต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และนำผลการรายงานเผยแพร่ให้ชุมชนหรือ สาธารณชนได้รับทราบ
7. การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา
      ผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานและข้อมูลจากการติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรทั้งหมด จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาในปีต่อ ๆ ไป
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง
      ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบผลสำเร็จก็คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรที่กระจายอำนาจการจัดการศึกษาแก่สถานศึกษา ทั้งในด้านการบริหารวิชาการ การบริหารจัดการ และการใช้หลักสูตร เป็นกระบวนการนำหลักสูตรแกนกลางในระดับชาติไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา จึงต้องได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม และร่วมมือจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกระดับ โดยที่การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเน้นความสำคัญในการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 22 กำหนดแนวทางไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ”  ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรและจัดกระบวนการเรียนรู้จึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีเป้าหมายที่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ คือเป็น คนเก่ง คนดี และมีความสุขโดยมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังนี้
1. ผู้บริหารสถานศึกษา
      ผู้บริหารสถานศึกษาที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา เข้าใจบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารอย่างถ่องแท้และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังแบบต่อเนื่อง จะช่วยให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบผลสำเร็จได้อย่างมีคุณภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปฏิรูปการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการสั่งการมาเป็นผู้ร่วม คือ ร่วมวางแผนและร่วมปฏิบัติ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีบทบาทดังนี้
1.1 จัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ในการดำเนินการจัดการศึกษา
1.2 เป็นผู้นำในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยร่วมประสานกับบุคลากรทุกฝ่าย เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ตลอดจนสาระตามหลักสูตรสถานศึกษา
1.3 ประชาสัมพันธ์หลักสูตรสถานศึกษา
1.4 สนับสนุนให้บุคลากรทุกฝ่ายของสถานศึกษามีความรู้และความสามารถในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
1.5 มีการนิเทศภายใน เพื่อนิเทศ กำกับ ติดตามการใช้หลักสูตรสถานศึกษาอย่างมีระบบ
1.6 จัดให้มีการประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อปรับปรุง พัฒนาสาระของหลักสูตรสถานศึกษาให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ชุมชนและท้องถิ่น
2. ครูผู้สอน
      ครูผู้สอนมีบทบาทโดยตรงในการร่วมพัฒนาหลักสูตร จัดการเรียนรู้ ครูในยุคปฏิรูปการศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้สอน เป็นผู้เอื้ออำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการชี้แนวทางการนำความรู้จากแหล่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ กล่าวคือ ทำให้ผู้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงแหล่งข้อมูล มีทักษะในการใช้สื่อ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการสืบค้นข้อมูลมาใช้ได้สะดวก วิธีการที่ครูสามารถทำได้ในฐานะผู้เอื้ออำนวยความสะดวกที่ดี เช่น ให้โอกาสผู้เรียนเข้าไปใช้บริการสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดของโรงเรียน บอกแหล่งที่มาของข้อมูลให้ผู้เรียนที่สนใจสามารถสืบค้นได้จากซีดีรอม หรือจากโฮมเพจในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น นอกจากนี้ ครูยังต้องปรับบทบาทจากการเป็นผู้ป้อนข้อมูล เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา โดยครูจะต้องตระหนักเสมอว่า ตนเองไม่ใช่ผู้กำหนดความรู้ แต่เป็นผู้สอนแก่นความรู้ในวิชาที่สอน และแนะวิธีการคิด ให้กรอบในการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาการ แนะนำการพิจารณาข้อมูลที่จะเลือกนำมาใช้ แนะนำเรื่อง ทั่วๆ ไปที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของผู้เรียนด้วย เช่น ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การพัฒนาบุคลิกภาพ มารยาท การป้องกันตนเองจากภัยอันตรายต่าง ๆ เป็นต้น ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาแก่นักเรียนและเป็นผู้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ก็ต่อเมื่อครูเป็นผู้ที่เรียนรู้มาก่อน นั่นหมายความว่า ครูจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เป็นคนช่างสังเกตและคิดแตกฉานกับข้อมูลและความรู้ที่ผ่านเข้ามาในสมองด้วยการตั้งคำถามและหาทางพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ครูไม่เพียงแต่จะมีบทบาทหน้าที่ในการจัดการเรียนรู้เท่านั้น แต่ครูยังต้องมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังต่อไปนี้ (กรมวิชาการ 2543 : 16)
2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจนเข้าใจกระจ่าง
2.2 ศึกษาหลักการ วิธีการพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษา
2.3 ร่วมวางแผน และร่วมพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษา
2.4 ตรวจสอบความสอดคล้องสัมพันธ์กันของสาระที่จัดทำขึ้นตามสภาพปัญหา/ความต้องการของชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น กับมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มวิชาและมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.5 วางแผนการจัดการเรียนการสอนตามขอบข่ายเนื้อหาสาระ มาตรฐาน สัดส่วนของเวลา และหน่วยการเรียนรู้
2.6 นำหลักสูตรไปปฏิบัติให้เกิดผลในห้องเรียน โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายสอดคล้องกับธรรมชาติของสาระการเรียนรู้และเหมาะสมกับผู้เรียน
2.7 วางแผนและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ได้ข้อมูลที่แสดงความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงนั้น และนำผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียนต่อไป
2.8 ร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตรกับสถานศึกษา
3. ผู้เรียน
      เนื่องจากผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการกำหนดจุดหมายของการพัฒนาหลักสูตร หลักสูตรทุกหลักสูตรพัฒนาขึ้นเพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนโดยตรง ผู้เรียนจึงควรมีส่วนแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียนให้ผู้รับผิดชอบพัฒนาหลักสูตรได้ทราบ และเนื่องจากผู้เรียนเป็นผลผลิตของการจัดการศึกษาโดยตรง ผู้เรียนจะมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์คือเป็นคนดี มีปัญญา และมีความสุขได้ ผู้เรียนจะต้องปรับปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ของตนจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความสามารถของตนเอง บทบาทหน้าที่ของผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีดังนี้
3.1 มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้ปกครองและครู วางแผนการเรียนรู้ของตนเองตามความถนัด ความสนใจและความสามารถของตนเอง
3.2 มีความรับผิดชอบ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และบริหารจัดการเรียนรู้ของตนเองให้มีคุณภาพ
3.3 ปฏิบัติตนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ รู้วิธีแสวงหาความรู้ พร้อมทั้งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
3.4 มีการประเมินและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
3.5 มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครูและเพื่อนโดยช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
4. ผู้ปกครอง
      การปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้เปิดโอกาสให้บิดามารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายร่วมมือกับสถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (มาตรา 24) ฉะนั้น บิดามารดาและผู้ปกครองจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดในการฝากบุตรหลานไว้ในความดูแลของครูมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผู้ปกครองควรจะมีบทบาท ดังนี้
4.1 กำหนดแผนการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกับครูและผู้เรียน
4.2 มีส่วนร่วมในการกำหนดสาระของหลักสูตรสถานศึกษา และกำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือธรรมนูญสถานศึกษา
4.3 ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
4.4 อบรมเลี้ยงดู เอาใจใส่ ให้ความรักความอบอุ่น ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ ของผู้เรียน
4.5 สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามความเหมาะสม
4.6 ร่วมมือกับครูและผู้เกี่ยวข้อง ประสานงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผู้เรียน
4.7 พัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีความรู้คู่คุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อนำครอบครัวไปสู่สถาบันแห่งการเรียนรู้
4.8 มีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนและการประเมินการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
5. ชุมชน
      พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรและบริหารจัดการให้เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่กลมกลืนกับท้องถิ่น และร่วมกับสถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยมีบทบาทดังนี้
5.1 มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือธรรมนูญของสถานศึกษา
5.2 มีส่วนร่วมในการกำหนดสาระของหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม
5.3 เป็นแหล่งการเรียนรู้ สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากสถานการณ์จริง
5.4 ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสถานศึกษา
5.5 มีส่วนร่วมในการตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา
การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจะประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี จะต้องได้รับความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานจากบุคลากรทุกฝ่าย ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน บิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลหรือหน่วยงานในชุมชน ได้แก่ องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในลักษณะต่าง ๆ หลายลักษณะ โดยถือว่าการจัดการศึกษาเป็นภาระหน้าที่สำหรับทุกคน การมีส่วนร่วมของประชาชนหรือบุคลากรทุกฝ่ายอาจดำเนินการได้หลายทาง ได้แก่
1. การมีส่วนร่วมเป็นกรรมการ
      ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาจะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนที่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเกี่ยวกับการศึกษา ให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน เพราะการเป็นกรรมการไม่ใช่เรื่องของอภิสิทธิ์ส่วนตัว แต่เป็นภาระเพื่อประโยชน์ส่วนรวม กรรมการมีหน้าที่กำกับ ดูแล ให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษาทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน   ดังนั้น กรรมการจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอน การบริหารและการจัดการศึกษา ระบบการประกันคุณภาพ การจัดทำหลักสูตร การประเมินคุณภาพการศึกษา การระดมทรัพยากรการเงินและบุคคลเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษา เป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเป็นกรรมการได้เข้าใจบทบาทหน้าที่อย่างจริงจัง สถานศึกษาควรจัดทำคู่มือการเป็นกรรมการและนำเสนอผ่านสื่อ การปฐมนิเทศ หรือการฝึกอบรมสำหรับกรรมการที่ยังขาดประสบการณ์ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของกรรมการด้วย
2. การร่วมจัดการศึกษา
      พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 57 กำหนดให้หน่วยงานการศึกษาระดมทรัพยากรบุคคลในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยนำประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำนาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลมาใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาและยกย่องเชิดชูผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา
3. การร่วมสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
      บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นจะร่วมสนับสนุนการศึกษาได้โดยร่วมกันให้ความรู้หรือประสบการณ์ในฐานะทรัพยากรบุคคลหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือสนับสนุนโดยการบริจาคทรัพย์สิน หรือทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา รวมทั้งการมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็นด้วย
4. การร่วมกำกับดูแล
      เนื่องจากการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดเงื่อนไขใหม่ๆ เช่น ครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสม สอดคล้องกับจรรยาบรรณและมาตรฐานของวิชาชีพ สถานศึกษาต้องมีระบบประกันคุณภาพ เป็นต้น ดังนั้นประชาชนจึงควรมีส่วนร่วมเรียกร้องคุณภาพทางการศึกษาที่เป็นมาตรฐาน ทักท้วง ตักเตือน หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่วมประเมินคุณภาพของบุคคลและสถานศึกษา รวมทั้งร่วมยกย่องเชิดชูเกียรติครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมด้วย  หากบุคลากรในสถานศึกษาทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเต็มที่ และเปิดโอกาสให้บุคคลและหน่วยงานนอกสถานศึกษาได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ทั้งในฐานะกรรมการสถานศึกษา วิทยากรหรือปราชญ์ชาวบ้าน หรือในฐานะผู้ให้การสนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษาและฐานะผู้ประเมินคุณภาพของสถานศึกษาแล้ว ย่อมเชื่อมั่นได้ว่าสถานศึกษานั้นจะประสบผลสำเร็จในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาและการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา

ปรัชญาการศึกษา Educational Philosohpy


ปรัชญาการศึกษา
Educational Philosohpy
ขัยอนันทร์ นวลสุวรรณ์ น.ธ.เอก,ป.ธ.6,พธ.บ.,ศษ.ม. (หลักสูตรและการสอน)
------------------------------------------------------------------------------------------------
ความหมายของปรัชญาทั่วไป
          ปรัชญา  คือความพยายามในการคิดอย่างมีระบบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเกี่ยวกับความจริงทั้งมวล (Kneller’s Introduction to the Philosophy of Education)
          ปรัชญา  หมายถึงความรัก ความเรืองปัญญา เพื่อจะได้ใช้ความเรืองปัญญาเป็นปัจจัยของการดำเนินชีวิต เป็นความพยายามที่จะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล (Brubacher’s Electric Philosophy of Education)
          ปรัชญา  แสดงให้เห็นถึงความพยายามของมนุษย์ในการกำหนดความหมายและทิศทางของชีวิต (Neff’s Philosophy and American Education) 
          ปรัชญา  คือ การศึกษาคุณค่าของชีวิตที่ขัดแย้งกัน  เพื่อที่จะแสวงหาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตในสภาพการขัดแย้งที่มีอยู่ (Kilpatrick’s Philosophy of Education)
          ปรัชญา  คือการศึกษาคำถามมากกว่าการศึกษาคำตอบ (Morris” Philosophy and the American School)
          “ปรัชญา”  ในภาษาไทยเป็นคำบัญญัติที่พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้นจากคำว่า  Philosophy    ปรัชญาเป็นคำในภาษาสันสกฤต  ซึ่งตรงกับปัญญาในภาษาบาลี คำนี้ประกอบด้วยรูปศัพท์ ๒ ศัพท์ คือ ปร และ ชญา   ปร  หมายถึง ประเสริฐ และ  ชญา  หมายถึงความรู้ คำปรัชญาจึงหมายถึงความรู้อันประเสริฐ

ขอบเขตของปรัชญา

                    ปรัชญา แบ่งออกเป็นแขนงต่าง ๆ ได้ ๔ แขนง
                    ภววิทยา (Ontology)    เป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาสภาวะแห่งความเป็นจริงหรือธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลาย  เพื่อจะให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ว่า อะไรคือความเป็นจริงอันเป็นที่สุด (Ultimate Reality)   ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลศึกษาถึงลักษณะของการมีอยู่เป็นอยู่ของสิ่งทั้งหลายว่าอะไรเป็นสิ่งที่จริงแท้  จิตหรือวัตถุเป็นความจริงมูลฐาน ภววิทยามีขอบข่ายกว้างขวางมาก เพราะเป็นการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตและสรรพสิ่งทั้งมวลในจักรวาล
                    ญาณวิทยา  (Epistemology)    ปรัชญาแขนงนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์หลักหรือทฤษฎีแห่งความรู้ คำถามหลักที่นักปรัชญาแขนงนี้สนใจคือ  อะไรคือความรู้ที่ถูกต้อง   เรารู้ได้อย่างไรว่าถูกต้อง  มีหลักอะไรที่จะช่วยตัดสินความถูกผิด   ประสาทสัมผัสเป็นตัวตัดสิน หรือเหตุผลหรือวิธีอื่นใด            ความรู้ มีกี่ประเภท ได้มาจากแหล่งใด เหล่านี้เป็นปัญหาที่ปรัชญาแขนงญาณวิทยามุ่งศึกษาวิเคราะห์
          เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องของการถ่ายทอดความรู้ ปรัชญาแขนงนี้จึงมีส่วนสัมพันธ์กับการศึกษาอยู่มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับหลักสูตรและการสอน ญาณวิทยาได้ให้พื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ใน ๒ ลักษณะ คือ แบบต่าง ๆ ของการรู้ (เรารู้ได้อย่างไร) และประเภทต่าง ๆ ของความรู้
          วิธีการที่จะช่วยให้เรารู้สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่จะให้ความรู้ที่แท้จริงมากที่สุดนั้นมีอยู่ ๕ วิธีคือ
                    (การรู้โดยข้อมูลทางผัสสะ (Sense Data)  ผัสสะ  หมายถึง การรู้หรือการรับรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่งหรือหลาย ๆ ทางพร้อมกัน  ข้อมูลทางผัสสะเป็นวิธีการหนึ่งของการรับรู้เพื่อนำไปสู่ความรู้ที่เชื่อถือได้
                    (การรู้โดยสามัญสำนึก (Common Sense)   สามัญสำนึก หมายถึงความรู้สึก หรือการรับรู้ของคนแต่ละคนที่มีร่วมกับคนอื่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาคิดค้นไตร่ตรองเสียก่อน มนุษย์เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างสามารถตัดสินได้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควรได้ทันทีโดยอาศัยสามัญสำนึก
                    (การรู้โดยตรรกวิธี (Logic)  ตรรกวิธีหรือตรรกวิทยา  เป็นวิธีการสำคัญที่นักปรัชญาใช้ในการตัดสินความถูกต้องของความรู้ความจริง เป็นวิธีการที่อาศัยหลักของเหตุผล ความน่าเชื่อถืออยู่ที่เหตุผล
                    (การรู้โดยการหยั่งรู้ หรือญาณทัศน์ (Intuition)  การรู้โดยการหยั่งรู้หรือญาณทัศน์เป็นการรู้โดยอาศัยความคิดหรือจินตนาการที่อาศัยสติปัญญาเป็นหลัก การหยั่งรู้ของมนุษย์นั้นมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับระดับความคิดและสติปัญญาของแต่ละคน ในระดับสูงสุดของการหยั่งรู้โดยใช้สมาธิและปัญญาก็คือ การตรัสรู้อย่างที่เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้ามาแล้ว
                    (การรู้โดยวิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)   การรู้โดยวิธีวิทยาศาสตร์  เป็นการรู้โดยอาศัยการสังเกตและการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าความรู้ที่ได้จากการสังเกตหรือการสัมผัสเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อมีการทดลองซ้ำ ๆ จนได้คำตอบไม่เปลี่ยนแปลงได้ ก็ถือได้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงตราบเท่าที่ผลการพิสูจน์ยังไม่เป็นอย่างอื่น  ปรัชญาโดยปกติจะไม่ใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อผลิตความรู้   แต่อาจจะใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบความถูกต้องของความคิดหรือประสบการณ์
                    อีกลักษณะหนึ่งของญาณวิทยาคือ การจำแนกประเภทของความรู้โดยอาศัยแหล่งที่มาและวิธีการได้มาซึ่งความรู้ ออกเป็น ๕ ประเภทคือ
                    (ความรู้ประเภทคัมภีร์ (Revealed Knowledge)   ซึ่งเป็นความรู้ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่ศาสดา เพื่อนำไปเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ ส่วนมากจะเป็นความรู้ที่ประมวลไว้ในพระคัมภีร์ทางศาสนา
                    หลักสูตรและการสอนในโรงเรียนและสถานศึกษามักจะมีการนำเอาความรู้ประเภทนี้บรรจุไว้ในหลักสูตร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ความรู้เพื่อการพัฒนาจิตใจ
                    (ความรู้ประเภทตำรา (Authoritative Knowledge)   เป็นความรู้ที่ได้จากการบอกเล่า บันทึก หรือการถ่ายทอดจากผู้คงแก่เรียน หรือผู้รู้ในเรื่องต่าง ๆ ถือตัวผู้ที่เป็นปราชญ์หรือผู้เชี่ยวชาญนั้น ๆ เป็นแหล่งของความรู้ ผลงานของผู้รู้ที่เขียนเป็นคำมาไว้จึงเป็นประเภทหนึ่งของความรู้ที่ใช้อ้างอิงกันโดยทั่วไป แหล่งความรู้ประเภทนี้อาจจะสมบูรณ์ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือและการพิสูจน์โดยวิธีการอื่น ๆ
                    (ความรู้ประเภทญาณทัศน์ (Intuitive Knowledge)   เป็นความรู้ที่เกิดจากการหยั่งรู้โดยญาณ การหยั่งรู้อาจจะเกิดจากการครุ่นคิดไตร่ตรองเพื่อหาคำตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  เพื่อให้พ้นสงสัยแต่คิดไม่ออกหรือหาคำตอบไม่ได้  แต่จู่ ๆ ก็เกิดความรู้ในเรื่องนั้นผุดขึ้นมาในความคิดและได้คำตอบโดยไม่คาดฝัน  ในบางกรณีเมื่อมีแรงดลใจหรือจินตนาการบางอย่างก็เกิดการหยั่งรู้ขึ้น  ความรู้ที่ได้จากญาณทัศน์นี้เป็นจุดกำเนิดของความรู้เชิงปรัชญา ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรืองานสร้างสรรค์ทางด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม
                    (ความรู้ประเภทเหตุผล  (Rational Knowledge)  เป็นความรู้ที่ได้มาจากการใช้ หลักของเหตุผล ซึ่งเป็นวิธีการทางตรรกวิทยา ส่วนใหญ่จะเป็นความรู้ที่เกิดจากการอ้างอิงความจริงหรือความรู้ที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำไปสู่ความรู้ใหม่
                    (ความรู้เชิงประจักษ์  (Empirical Knowledge)  เป็นความรู้ที่ได้จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และผัสสะประกอบกัน การสังเกต การทดลอง การพิสูจน์ความจริงด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยมีการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ และแปลความหมายของข้อมูลด้วยวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแหล่งที่มาของความรู้ประเภทนี้ ซึ่งเป็นรากฐานของการวิจัยค้นคว้าในยุคปัจจุบัน
                    คุณวิทยา (Axiology)  ปรัชญาแขนงที่มุ่งวิเคราะห์คุณค่าหรือค่านิยมเกี่ยวกับความดีและความงาม มีลักษณะเป็นปัชญาชีวิตที่มุ่งศึกษาแนวความคิดและความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าใน ๒ แง่ คือ
                              (จริยศาสตร์ (Ethics)  เป็นเรื่องของความดี ความถูกต้องของแนวทาง ความประพฤติ ความหมายของชีวิต ชีวิตที่ดีมีลักษณะอย่างไร อะไรคือสิ่งที่น่าพึงปรารถนาที่สุดของชีวิต ความดีคืออะไร เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดความดีความชั่ว
                              (สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)   เป็นเรื่องของความงาม การาจะตัดสินว่าอะไรสวย อะไรงาม ใช้เกณฑ์อะไร มีเกณฑ์ที่จะวัดได้จริงหรือไม่ สุนทรียศาสตร์มุ่งศึกษาคุณค่าเกี่ยวกับความงามของศิลปะ ความไพเราะแห่งดนตรี ความงามแห่งธรรมชาติ
                    คุณวิทยามีความสำคัญยิ่งต่อการศึกษา  ทั้งนี้เพราะการศึกษามิได้มีหน้าที่แต่เพียงการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียนเท่านั้น  แต่ยังมีหน้าที่สำคัญในการปลูกฝังทัศนคติ และค่านิยมที่ดีงามในตัวผู้เรียนด้วย  หลักการด้านจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ จึงมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับการจัดการศึกษาทุกระดับเป็นอย่างมาก
                    ตรรกวิทยา (Logic)  มุ่งศึกษากฎเกณฑ์การใช้เหตุผล การคิดอย่างมีระบบระเบียบ การอ้างเหตุผลอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผล  มีหลักอะไรที่จะตัดสินความมีเหตุผล การอ้างเหตุผลมีได้กี่วิธี เหล่านี้เป็นเรื่องที่ตรรกวิทยามุ่งศึกษาวิเคราาะห์วิธีการหาเหตุผลทางตรรกวิทยา มีอยู่ ๒ แบบ คือ
                              (แบบอุปนัย (Inductive)   การอ้างเหตุผลแบบอุปนัยนั้นเป็นการอาศัยความจริงหรือประสบการณ์ย่อยหลายๆ ประสบการณ์มาสรุปเป็นความจริงหลัก เช่น
                              คนเป็นสิ่งที่มีชีวิต                    ต้องตาย
                              สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต          ต้องตาย
                              พืชเป็นสิ่งที่มีชีวิต                    ต้องตาย
                              เพราะฉะนั้น                         สิ่งมีชีวิตต้องตาย
          ทางการศึกษาได้ใช้วิธีอุปนัยทั้งในด้านการสอนและการวิจัยค้นคว้า  เช่น การสอนภูมิศาสตร์โดยเริ่มจากภูมิศาสตร์ของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ และภูมิภาคของโลกเพื่อให้นักเรียนทราบหลักการตั้งแต่เรื่องย่อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับโลก ก็เป็นการสอนแบบอุปนัย การวิจัย เช่นเรื่องพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงเรียน โดยการนำการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมผู้บริหารเป็นรายโรงเรียน แล้วนำมาสรุปเป็นภาพรวมของพฤติกรรมทั้งหมด ก็เป็นวิธีวิจัยแบบอุปนัย
                              (แบบนิรนัย (Deductive)   การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนั้นเป็นการอ้างว่าสิ่งหนึ่งเป็นจริงเพราะสอดคล้องกับสิ่งอื่นที่เราทราบว่าเป็นจริงและถือเป็นหลักอยู่แล้ว เช่น
                              สิ่งมีชีวิตต้องตาย
                              คนเป็นสิ่งที่มีชีวิต
                              เพราะฉะนั้นคนต้องตาย
          การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนี้ใช้ในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการศึกษาอยู่มาก  เป็นการสอนจากหลักใหญ่ไปสู่เรื่องย่อย


                                                           
      ภววิทยาและอภิปรัชญา (Ontology and Metaphysics)
       :  อะไรคือความจริงอันที่สุด   (Ultimate Reality)

         
คัมภีร์ (Revealed)
     ญาณวิทยา (Epistemology)
ตำรา (Authoritative)
: ทฤษฎีแห่งความรู้
ญาณทัศน์ (Intuitive)
ความรู้  ๕ ประเภท
เหตุผล (Rational)

ประจักษ์  (Empirical)

     คุณวิทยา (Axiology)
      ปรัชญาชีวิต ความดี
       ความงาม
-       จริยศาศตร์ (Ethics)
-       สุนทรียศาสตร์ (Aesthetivcs)
      ตรรกวิทยา (Logic)
      :  การคิดอย่างมีเหตุผล
   
  
-       อุปนัย (Inductive)
-       นิรนัย (Deductive)

ปรัชญาการศึกษา


          นักวิชาการด้านการศึกษาได้ให้คำจำกัดความของคำว่า  การศึกษา”  มากมายหลายคำนิยม  เช่น  การศึกษาคือชีวิต”  “การศึกษาคือการตระเตรียมการดำรงชีวิต”  “การศึกษาคือความเจริญงอกงาม”  “การศึกษาคือการถ่ายทอดวัฒนธรรม”  “การศึกษาคือการทำให้คนเจริญขึ้น”  และ ฯลฯ  การที่นิยามความหมายของคำว่า  การศึกษา”  ต่าง ๆ กัน ก็เนื่องมาจากบางคนพิจารณาการศึกษาในฐานะจุดหมายปลายทางของชีวิต  บางคนนิยามการศึกษาในบานะกระบวนการ บางคนกำหนดความหมายในลักษณะที่เป็นกิจกรรมประเภทหนึ่งของสังคม
          การศึกษาเป็นการพัฒนาบุคคลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง  เราอาจพิจารณาความหมายของการศึกษาได้เป็น ๒ แนวคือ
                    ความหมายในแนวกว้าง ถือว่าการศึกษาเป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต         มีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมชีวิต บุคลิกภาพและความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์             เป็นการศึกษาจากประสบการณ์ทั้งมวล ตามแนวนี้การศึกษามิได้จำกัดอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น สถาบัน
ทางสังคมอื่น ๆ เช่น บ้าน วัด สื่อมวลชน และ ฯลฯ ต่างก็มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของบุคคล
                    ความหมายในแนวแคบ  ถือว่าการศึกษาเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม ความรู้ และค่านิยมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง  โดยผ่านสถาบันทางสังคมที่มีหน้าที่จัดการศึกษา เช่น  โรงเรียน ความหมายตามแนวแคบนี้เป็นความหมายที่เราเข้าใจกันโดยทั่วไป
          การศึกษาไม่ว่าจะนิยามความหมายว่าอย่างไร มีลักษณะสำคัญอยู่ ๓ ประการคือ
                    การศึกษาเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นไปในแนวทางที่ปราดรถนา
                    การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้  เป็นไปโดยจงใจ  โดยมีการกำหนดจุดมุ่งหมายซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดไว้
                    การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ กระทำเป็นระบบ มีกระบวนการอันเหมาะสมและผ่านสถาบันทางสังคมที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ด้านการศึกษา

ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับการศึกษา

                    ปรัชญามุ่งศึกษาเรื่องของชีวิตและจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อจะหาความจริงอันเป็นที่สุด การศึกษามุ่งศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์และวิธีการที่จะพัฒนามนุษย์ให้มีความเจริญงอกงามเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างดีมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต     การงาน   ทั้งปรัชญาและการศึกษา มีจุดสนใจร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือการกำหนดคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์ ปรัชญาในแง่นี้จึงมีลักษณะเป็นทฤษฎีทางการศึกษาและการศึกษาเป็นการนำเอาปรัชญาไปปฏิบัติให้บังเกิดผล เมื่อเป็นเช่นนี้ปรัชญาจึงมีความสัมพันธ์กับการศึกษาอยู่ ๓ ประการ
                    ปรัชญาตรวจสอบและเสนอแนะจุดมุ่งหมายของการศึกษา  การศึกษาเป็นกิจกรรมทางสังคมที่มุ่งผลการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นไปในแนวทางที่ปรารถนา  ปรัชญาอาจจะช่วยเสริมการศึกษาให้ได้รับคำตอบที่ชัดเจนขึ้นได้หลายประการเช่น
(ปรัชญาอาจช่วยชี้ให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่จะเลือกนั้น    สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการเมืองหรือไม่ มีความเหมาะสมเพียงใด
(ปรัชญาอาจช่วยชี้ให้เห็นว่า จุดมุ่งหมายของการศึกษาที่จะเลือกนั้น
ขัดแย้งกับจุดมุ่งหมายของกิจกรรมทางด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมืองหรือไม่ ถ้าขัดแย้งจะแก้ไขให้สอดคล้องกันได้อย่างไร
(ปรัชญาอาจช่วยชี้ให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่จะเลือกนั้น    สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ดีหรือไม่ ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร ธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร เพื่อจะได้ใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ประกอบการพิจารณาเลือกจุดมุ่งหมายของการศึกษาได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
                    ปรัชญาวิพากษ์และวิเคราะห์การศึกษา ปรัชญาอาจช่วยวิพากษ์และวิเคราะห์สาระและปัญหาของการศึกษาได้ใน ๓ ลักษณะคือ
                              (ปรัชญาอาจช่วยวิเคราะห์ข้อสมมติฐานของการศึกษา การที่นักการศึกษามีความเห็นแตกต่างกัน ถ้าสืบเสาะดูสาเหตุของความแตกต่างให้ดีแล้ว ส่วนหนึ่งมักจะเกิดจากการยึด ข้อสมมุติฐานที่แตกต่างกัน  ถ้าจับประเด็นความแตกต่างได้แล้ว ก็จะทำให้นักการศึกษามีความมั่นใจ ในสมมุติฐานที่ตนยึดมากยิ่งขึ้น มีเหตุผลขึ้น
                              (ปรัชญาอาจช่วยให้เห็นปัญหาทางการศึกษาชัดเจนขึ้น  มีอยู่บ่อยครั้งที่เราพยายามแก้ปัญหาบางอย่างโดยไม่เข้าใจชัดเจนว่าปัญหานั้นคืออะไร ปรัชญาอาจช่วยขยายความของคำถามให้ชัดเจนขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องระหว่างปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งเสนอแนะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ต้องการจะแก้
                              (ปรัชญาอาจช่วยขจัดความกำกวมของศัพท์ หรือแนวคิดหลักที่ใช้ในวงการศึกษา นักปรัชญากลุ่มภาษวิเคราะห์จะช่วยแยกแยะให้เห็นว่า คำศัพท์ทางการศึกษามีความหมายได้กี่ความหมาย เช่น การนิยามความหมายของ  การศึกษาอาจนิยามได้ ๓ ลักษณะคือ
ก.      นิยามขึ้นเป็นการเฉพาะ  สำหรับความหมายที่ผู้นิยามต้องการใช้
เป็นการเฉพาะตัวหรือเฉพาะแห่ง
ข.      นิยามแบบพรรณนา  คือการนิยามความหมายที่คนทั่วไปใช้
ค.     นิยามเพื่อชี้ทาง  คือการนิยามความหมายอย่างที่ควรจะเป็น  เช่น 
การศึกษาคือความเจริญงอกงาม
                    ปรัชญาให้ภาพรวมหรือสร้างโลกทัศน์ โดยการเชื่อมโยงศาสตราทั้งหลายที่เกี่ยวกับการศึกษาให้มีความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา
                    กล่าวโดยสรุป  กิจของปรัชญาการศึกษาพิจารณาได้เป็น ๒ ด้านคือ
                              ด้านเนื้อหาสาระของการศึกษาปรัชญามีส่วนช่วยกำหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษา เพื่อให้ได้แนวทางการจัดการศึกษาที่ดีที่สุด เพื่อชีวิตและสังคมปัจจุบันและอนาคต
                              ด้านวิธีการ  ปรัชญามีส่วนช่วยวิเคราะห์ สังเคราะห์  ตีความโดยใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา เกี่ยวกับคำและแนวคิดหลักทางการศึกษา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในความคิด     ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นใจในการปฏิบัติของนักการศึกษา
                    “การจัดการศึกษาโดยไม่มีปรัชญาการศึกษาเป็นแนวทาง ก็เป็นเสมือนเรือที่แล่นไปในท้องทะเลโดยไม่มีหางเสือ




IDEALISM  (มโนคตินิยม)

สาระสำคัญ

          ภววิทยา  ปรัชญาสาขามโนคตินิยม ถือว่าความจริงอันเป็นที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจมากกว่าวัตถุ  นักปรัชญาสาขานี้มองโลกในแง่ของ โลกแห่งจิตใจ”  มากกว่า โลกแห่งวัตถุ”  ถึงแม้จะยอมรับความจริงที่ปรากฏว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่แวดล้อมตัวเราอยู่ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส เช่น บ้าน   ภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้า เมฆ แม่น้ำ ทะเล ฯลฯ  เป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปให้เห็น แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงอาการที่ปรากฏของความจริงที่จริงกว่า ซึ่งเป็นนามธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นและสัมผัสได้เป็นเพียง เงาของความจริงยังมิใช่ความจริงแท้ ความจริงอันเป็นที่สุดเป็นเรื่องของความคิด (Idea)  และจิตใจ (Mind)
          ญาณวิทยา  เนื่องจากนักปรัชญาสาขามโนคตินิยม  ยึดถือเรื่อง มโนคติ (Idea)  และจิตใจ (Mind)  เป็นสำคัญ ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ ปรัชญาสาขานี้จึงเน้นความรู้ที่เกิดจากความคิด เหตุผลและการหยั่งรู้โดยญาณทัศน์เป็นสำคัญ  ถือว่าความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัสไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง  ทั้งนี้เพราะประสาทสัมผัสเองนั้นก็มีความไม่แน่นอนอยู่ในตัวแล้ว  จะถือผลที่ได้จากประสาทสัมผัสว่าจริงแท้แน่นอนได้อย่างไร  เช่น คนหลาย ๆ คนดูของสิ่งเดียวกัน จับต้องของอย่างเดียว ชิมอาหารถ้วยเดียวกัน ฟังเพลง ๆ เดียวกัน อาจเห็นและรู้สึกทางรูป รส กลิ่น เสียง ต่างกันได้  กระบวนการของการรับรู้จึงเป็นกระบวนการทางจิตมากกว่าทางกาย นักปรัชญาสาขามโนคตินิยมปฏิเสธการยอมรับที่ว่า  วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีเดียวที่เข้าถึงความรู้ความจริง ถือว่าการหยั่งรู้หรือญาณทัศน์มีความสำคัญเท่าหรือสำคัญกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การู้สิ่งใดมิใช่เพียงแต่การสัมผัสสิ่งนั้น การรู้หมายถึงการมีแนวคิดหรือจิตภาพของสิ่งนั้น และสามารถบันทึกไว้ในใจที่พร้อมจะรื้อฟื้นได้ทุกขณะ  การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการของ การรำลึกการรับรู้”  (A Process of remembering of recognition)  ซึ่งหมายถึงกระบวนการรับรู้โดยอาศัยจิต  เกิดเป็นจิตภาพของเรื่องนั้น และสามารถรื้อฟื้นสิ่งที่เคยรู้มาแล้วได้ ปรัชญาสาขานี้จึงถือว่าความรู้ คือ มโนคติ  (Truth as Idea)  
          คุณวิทยา  ทัศนะของนักปรัชญาสาขามโนคตินิยมเกี่ยวกับจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์นั้น ยึดหลักความดีและความงามตามอุดมคติทางด้านจริยธรรม ยึดถือกฎแห่งความดีสูงสุดเป็นกฎสากล โดยถือว่าคุณธรรมความดีนั้นมี แบบแห่งความดีและคุณธรรม มนุษย์จะรู้แบบแห่งคุณธรรมก็ต้องอาศัยความรู้ จึงถือว่าคุณธรรมคือความรู้  (Virtue is knowledge)   ถ้าเรารู้แบบของคุณธรรมความดีแล้วเราจะมีหลักยึดและจะไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้ผิดไปจากแบบแห่งคุณธรรมนั้น ๆ หลักจริยธรรมจึงมุ่งไปสู่แบบแห่งความดีสูงสุด (Idea of the good)
          ฝ่ายมโนคตินิยมทางศาสนา จึงพยายามชี้ให้เห็นถึงแบบแห่งคุณธรรมความดี”  โดยเน้นการประพฤติตามแบบอย่างของผู้ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมความดี เช่น ตามแนวทางจริยธรรมที่พระศาสดาของศาสนานั้น ๆ ประทานไว้ หรือตามบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าในทางพระพุทธศาสนาก็คือเอาพระธรรม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแบบสูงสุด
          ปรัชญาสาขามโนคตินิยมถือว่ากฎแห่งคุณธรรมความดีเป็นกฎสากล  เป็นสิ่งตายตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกล เวลาและสถานที่ มีลักษณะเป็นอกาลิโกคือไม่มีกาลเวลาใช้ได้ตลอดไป
          ทางด้านสุนทรียศาสตร์นั้น  ในขณะที่จริยศาสตร์มุ่งค้นหาหลักแห่งความดีอันเป็นอุดมคติสูงสุดเป็นหลักสากล  สุนทรียศาสตร์มุ่งค้นหาแบบแห่งความงามอันเป็นอุดมคติสูงสุดเป็นหลักสากลเช่นกัน นักปรัชญามโนคตินิยมถือว่า ความงามจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงมโนคติและอุดมการณ์ (Reflection of Ideas)  คุณค่าของความงามของศิลปะนั้น  อยู่ที่การถ่ายทอดความงามจากความคิด   ซึ่งเป็นการ            สร้างสรรค์ศิลปกรรมขึ้นจากอุดมคติที่มีอยู่ในเรื่องนั้น ๆ เป็นการถ่ายทอดแบบแห่งความงาม ความไพเราะที่สมบูรณ์ในอุดมคติอออกมาให้ประจักษ์ เพื่อให้เกิดความทราบซึ้งในคุณค่าแห่งสุนทรีรสนั้น ๆ ตัวอย่าที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ศิลปกรรมตาามแนวนี้ก็คือ  การวาดภาพเขียน และดนตรีกับการขับร้องในโบสถ์ของศาสนาต่าง ๆ เพื่อสะท้อนแบบของความงามและความดี ตามแนวมโนคตินิยมดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้

แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา

            หลักการสำคัญของปรัชญาสาขามโนคตินิยมทางด้านภววิทยา ญาณวิทยาและคุณวิทยาเมื่อนำมาประยุกต์เป็นแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการศึกษาที่เรียกว่า ปรัชญาการศึกษาจะพบว่าการจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้จะมีลักษณะดังนี้คือ
          โรงเรียนและผู้เรียน  เนื่องจากปรัชญาสาขามโนคตินิยมเน้นการพัฒนาความคิดและจิตใจโรงเรียนตามแบบมโนคตินิยมจึงเน้นการเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมทางความคิดให้แก่ผู้เรียนโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพของความคิดและความเจริญงอกงามทางจิตใจ สิ่งแวดล้อมทางความคิดคือ สัญลักษณ์ซึ่งเป็นสื่อความคิดที่สำคัญ โรงเรียนจึงใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ และศิลปะเป็นสื่อให้   ผู้เรียนได้ฝึกการคิดและการแสดงออกเป็นการพัฒนาจิตใจ  โรงเรียนตามแนวมโนคตินิยมมุ่งสร้างคน   ให้เป็น  นักศิลปะและภาษา”  (Man of Arts and Letters)
          หลักสูตร  เน้นเนื้อหาวิชาทางด้านการพัฒนาความคิดและจิตใจ วิชาการด้านมนุษยศาสตร์ซึ่งเน้นการใช้สัญลักษณ์ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของชีวิต สร้างมโนธรรม คุณธรรม และฝึกการคิดหาเหตุผลจึงได้รับการเน้นเป็นพิเศษ วิชาดังกล่าวได้แก่วิชาภาษา วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา ศิลป คณิตศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยมีกลุ่มวิชาทางด้านศิลปภาษา (Language Arts)    เป็นแกนสำคัญของหลักสูตร
          การเรียนการสอน เน้นการใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อในการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนจึงเกี่ยวข้องกับการใช้สื่อสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่  ซึ่งได้แก่การฟัง การจดจำ จากการบรรยายของครู การอ่านหนังสือ การค้นคว้าจากตำราและเอกสารทางวิชาการต่าง ๆ ห้องเรียนกับห้องสมุดจึงเป็น  หัวใจของกระบวนการเรียนการสอนของโรงเรียน  การเรียนการสอนจะเน้นการเรียนในห้องเรียนและ  ห้องสมุดมากกว่าการศึกษานอกสถานที่หรือทัศนศึกษา  เพราะถือว่าผู้เรียนสามารถอ่านและทำความเข้าใจเรื่องต่าง ๆ จากหนังสือได้โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์โดยตรง บทบาทของครูตามแนวปรัชญาสาขานี้ถือว่าครูคือแม่พิมพ์เป็นต้นแบบที่ดีทั้งด้านความรู้และความประพฤติ ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้โดยใช้สัญลักษณ์ได้ดีมีประสิทธิภาพ
          การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมและสุนทรียภาพ  จริยศึกษาได้รับการเน้นเป็นพิเศษใน   โรงเรียนตามแบบมโนคตินิยม ถือว่าโรงเรียนมีหน้าที่ถ่ายทอดแบบความประพฤติและการปฏิบัติตน  ตามธรรมเนียมประเพณีของสังคม โดยยึดแบบอย่างทางจริยธรรมและคุณธรรมที่ดีที่ประมวลได้จากศาสนา ประวัติศาสตร์ และวรรณคดี วิธีการปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรม อาศัยภาษา คำพูด และสัญลักษณ์เป็นสื่อในเนื้อหา  วิชาที่เกี่ยวกับขนมประเพณีและอุดมการทางังคม โดยเน้นค่านิยมและ     การอบรมจริยธรรมควบคู่กันไป
          ทางด้านการเสริมสร้างรสนิยมเชิงสุนทรียะนั้น มุ่งเน้นการเรียนจากผลงานที่มีชื่อเสียงและแบบแห่งความงามในอุดมคติ โดยการให้ผู้เรียนมีโอกาสทำความคุ้นเคยกับผลงานทางศิลปกรรมชิ้นสำคัญ เพื่อเร้าใจให้เกิดความสนใจ และสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นโดยอาศัยการศึกษารายละเอียดของศิลปกรรมต้นแบบนั้น ๆ หากทำเช่นนี้ได้ก็จะช่วยปลูกฝังค่านิยมในสุนทรียภาพให้แก่ผู้เรียนได้อย่างแท้จริง

REALISM  (ประจักษ์นิยม)

สาระสำคัญ

          ภววิทยา  ปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมมุ่งสนใจศึกษาความจริงตามภาวะทางธรรมชาติและสภาวะที่เป็นวัตถุ  ถือว่าวัตถุหรือสสารเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายในจักรวาล นักปรัชญาสาขานี้จึงเชื่อว่า โลกแห่งความเป็นจริง คือ โลกแห่งวัตถุ (A World of Things)  สรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฎให้เห็นตามสภาพทางธรรมชาตินั้นเป็นจริงโดยตัวของมันเอง และในตัวของมันเอง ไม่มีสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเมื่อความจริงทั้งมวลมีความเป็นมาจากธรรมชาติ สรรพสิ่งทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ และสามารถค้นพบและพิสูจน์ความเป็นจริงได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์  ปรัชญาสาขานี้จึงมีลักษณะเป็นวัตถุนิยมและธรรมชาตินิยม การที่จะตั้งว่าอะไรเป็นความจริงหรือไม่จะต้องมีหลักฐาน (Evidence)   ที่พิสูจน์ได้โดยวิธีทางวิทยาศาสตร์จึงมีลักษณะเป็นประจักษ์นิยมด้วย
          ญาณวิทยา  รากฐานทฤษฎีแห่งความรู้ของปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมก็คือ ความรู้ที่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการสังเกต (Truth as Observable Fact)”   ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะปรัชญาสาขานี้ ถือว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีระบบโครงสร้างและกลไกการเคลื่อนไหวภายใต้การควบคุมของกฎธรรมชาติ การค้นหาความรู้เกี่ยวกับสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงน่าจะเริ่มต้นที่การสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ และหาทางอธิบายให้ชัดเจนถึงสภาวะและกลไกการดำเนินงานของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอย่างถูกต้องที่สุด ความรู้และความจริงของปรัชญาสาขานี้จึงได้มาจากทฤษฎีต่าง ๆ ต่อไปนี้
                    (ทฤษฎีการสังเกต  (Spectator Theory)   คือการศึกษาหาความจริงโดยวิธีการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัส  เป็นการเฝ้าสังเกตอย่างมีระบบระเบียบเพื่อที่จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เมื่อผลของการสังเกตสามารถสรุปผลเป็นความรู้ได้ก็จะทำให้มนุษย์สามารถอธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อใช้บังคับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ได้
                    (กฎธรรมชาติ  (Natural Law)    ถือว่าความจริงคือสิ่งเดียวกันกับธรรมชาติ       เมื่อธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีกฎเกณฑ์แน่นอน ความเป็นจริงจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
                    (ทฤษฎีบริสุทธิ์ (Pure Theory)  นักปรัชญายอมรับว่า  การรับรู้แบบสามัญสำนึก (Common Sense)   เป็นทางที่จะนำไปสู่ความรู้ที่แท้จริงได้ จึงถือสามัญสำนึกเป็นพื้นฐานของความรู้บริสุทธิ์ เมื่อมีการนำเอาความรู้จากสามัญสำนึกมาพิสูจน์ทดลองก็อาจได้ผลสรุปที่เป็นความรู้ขั้นสุดท้ายได้ ความรู้ระดับสูงหรือความรู้บริสุทธิ์ก็คือ  ความรู้ที่ได้จากการสังเกตหรือการใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์นั่นเอง เพียงแต่มีการกลั่นกรอง ทดสอบด้วยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันผล    ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ
          คุณวิทยา    ค่านิยมเชิงจริยาและสุนทรียะของปรัชญาสาขาประจักษ์นิยม ยึดหลักความเป็นจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรือโลกแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติ  หลักจริยศาสตร์และสุนทรยศาสตร์   ของปรัชญาสาขานี้คือ  การเดินตามกฎธรรมชาติ”  (Natural Law)
                    หลักจริยธรรมตามทัศนะนี้ จึงเป็นหลักที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้การทำดีทำชั่วจากการสังเกตแนวทางที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติตามครรลองแห่งกฎธรรมชาติรวมทั้งการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและกาลเทศะ เพื่อให้การดำเนินชีวิตบรรลุจุดหมายอันสูงสุดคือความสุข                    คุณธรรมความดีเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ การประพฤติดีก็คือการควบคุมตนเองไม่ให้กระทำผิดไปจากธรรมชาติ  การที่คนจะเรียนรู้คุณค่าทางจริยธรรมนั้นจะต้องเรียนรู้สภาพแวดล้อมและการปรับตัวให้เข้ากับแบบอย่างจริยธรรมของสังคมที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา  หลักจริยธรรมที่กำหนดจึงเป็นกฎตายตัวที่จะเลือกประพฤติอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเดินตามกฎศีลธรรมที่กำหนดไว้
                    ทางด้านสุนทรียศาสตร์นั้น นักปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมสนใจในความงามของศิลปะความไพเราะของดนตรี และวรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติ ทฤษฎีทางด้านศิลปะมักจะเน้นการแสดงออกถึงภาพชีวิตจริงตามสภาพที่เป็นอยู่จริง ๆ ตามธรรมชาติ พูดง่าย ๆ    ก็คือ ถือเอาการเลียนแบบธรรมชาติให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้  สุนทรายภาพจึงเป็นการแสดงออกซึ่งความเป็นระเบียบและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติในรูปของสีเสียงและลีลาแห่งศิลปกรรมและดนตรี หัวใจของสุนทรียภาพก็คือ  การยกย่องความมีระเบียบแบบแผนและความเหตุผลของธรรมชาตินั่นเอง

แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา

          โรงเรียนและผู้เรียน  เนื่องจากปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมาเป็นโลกทางด้านวัตถุและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติเป็นหลักในการแสวงหาความรู้ความจริง  โรงเรียนจึงต้องจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับสรรพสิ่งทั้งหลายกว่าที่มีอยู่เป็นอยู่ตามระเบียบและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่เป็นจริงเพื่อให้   ผู้เรียนได้เห็นของจริงเข้าถึงความจริงตามธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม  โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีระบบระเบียบ โรงเรียนจะต้องเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติ โดยยึดกฎธรรมชาติเป็นหลัก
          หลักสูตร   เน้นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับโลกทางกายภาพ  ทั้งนี้เนื่องมาจากการยึดถือกฎธรรมชาติเป็นหลัก หลักสูตรจึงจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติโดยตรง  วิชาที่ ว่าด้วยธรรมชาติทั้งด้านชีวภาพและกายภาพจึงได้รับการเน้นเป็นพิเศษ  วิชาเหล่านี้ได้แก่ ชีววิทยา         สัตววิทยา พฤกษศาสตร์ ธรณีวิทยา เคมี ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์  ศิลปะการคำนวณ (Measurement Arts)   เป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาวิเคราะห์ธรรมชาติ  ทั้งนี้เพราะประจักษ์นิยมมุ่งพัฒนาคนให้เป็นผู้กำกับกลไกของธรรมชาติ (Master of the machine of nature)
          การเรียนการสอน    เน้นการเรียนรู้โดยอาศัยการรับรู้ทางผัสสะเป็นสำคัญ (Sense Perception)   วิธีการสอนจึงมักจะใช้วิธีการสาธิต (Demonstration)   โดยการนำของจริงมาแสดงให้ดู การทดลองโดยให้ผู้เรียนได้เป็นผู้กระทำ  การใช้อุปกรณ์โสตทัศนศึกษา ในกรณีที่ไม่อาจนำของจริงมา ให้ดูหรือทดลองได้  และทัศนศึกษาซึ่งเป็นการศึกษานอกสถานที่เพื่อให้ผู้เรียนเห็นของจริงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงตามธรรมชาติ  การเรียนการสอนจึงเน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากกว่าปรัชญาการศึกษาสาขาอื่น ๆ  บทบาทของครูจะต้องเป็นผู้สาธิตที่ดี   เป็นสื่อกลางระหว่างนักเรียนกับความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง  ความสามารถของครูในการสาธิต   การอธิบายและการใช้อุปกรณ์การสอนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างมาก   
          การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมและสุนทรียภาพ     ปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมยึดแนวทางประพฤติปฏิบัติที่สังคมเป็นผู้กำหนดและวางเป็นกฎศีลธรรมเอาไว้เป็นหลัก  โดยที่กฎศีลธรรมเหล่านั้นจะต้องสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ในการสอนศีลธรรมจึงเริ่มต้นการสอนด้วยวิธีนำผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจสภาวะทางธรรมชาติ  เมื่อเข้าใจธรรมชาติแล้วก็เท่ากันำผู้เรียนเข้าไปสู่การปฏิบัติตนที่ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นกฎศีลธรรมนั่นเอง  ปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมสนใจความงามของ ศิลปะที่มีรูปแบบและความมีระเบียบของธรรมชาติที่เป็นจริง  จึงมุ่งปลูกฝังค่านิยมทางสุนทรียภาพให้เรียนจากแบบอย่างความงามในธรรมชาติ  การสอนศีลปะจึงมุ่งให้ผู้เรียนสนใจคุณสมบัติด้านการ     ถ่ายทอดหรือจำลองแบบอย่างของความจริงตามธรรมชาติเป็นสำคัญ

PRAGMATISM   (ประสบการณ์นิยม)

สาระสำคัญ

          ภววิทยา  ภววิทยาของประสบการณ์นิยมที่พัฒนามาจากแนวคิดของประจักษ์นิยมโดยตรง แต่เป็นแนวคิดแบบง่าย ๆ ที่หันมาพิจารณาถึงสิ่งที่เป็นจริงเท่าที่มนุษย์สามารถจะมีประสบการณ์ได้ในชีวิตจริง ๆ ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีประสบการณ์ได้เป็นความจริงตามสภาพที่เป็นอยู่มีอยู่กล่าวอีก  นัยหนึ่งก็คือโลกแห่งประสบการณ์คือโลกแห่งความเป็นจริง  ความเป็นจริงนั้นก็คือ ประสบการณ์ของเรานั่นเอง
          การที่เราจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งใดนั้นจำเป็นต้องมีการกระทำกิจกรรมด้วยกระบวนการ   ที่เหมาะสม  จึงจะเกิดผลที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่จะนำไปสู่ความรู้ความจริง กระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่ากระบวนการกระทำที่ต่อเนื่อง (Transaction)   ในการสืบเสาะหาความรู้ความจริงนั้น  ปรัชญาสาขานี้เน้นกระบวนการ (Process)   เป็นสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
          ญาณวิทยา     ทฤษฎีแห่งความรู้ของปรัชญาสาขานี้ยึดประสบการณ์เป็นหลักโดยถือว่าประสบการณ์เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้  เมื่อประสบการณ์มีสภาพไม่คงที่เปลี่ยนแปลงได้  ความรู้อันเกิดจากประสบการณ์มีสภาพชั่วคราวไม่คงที่และเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกับความรู้จะได้รับการยอมรับว่าถูกต้องตราบเท่าที่ประสบการณ์ของมนุษย์ยังไม่อาจค้นพบความรู้ที่ใหม่กว่าเท่านั้น
                    ในแง่ของประสบการณ์นิยม  การรู้เป็นกระบวนการซึ่งมีขั้นตอนเหมือนกับวิธีการแก้ปัญหาหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทางด้านปรัชญาเรียกว่าวิธีการแห่งปัญญา (Intellectual Method)  วิธีการดังกล่าวนี้มี ๕ ขั้นตอน คือ
                    ขั้นตอนที่ ๑  เป็นขั้นตอนที่เกิดสภาวะผิดปกติหรือปัญหาแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปัญหานั้นคืออะไร
                    ขั้นตอนที่ ๒  การกำหนดปัญหา เพื่อให้ชัดเจนว่าปัญหานั้นคืออะไร  มีขอบเขตแค่ไหน  เป็นขั้นของการวินิจฉัยปัญหา
                    ขั้นที่ ๓  เป็นการตั้งสมมติฐาน  คาดคะเน หรือประมลแนวทางแก้ปัญหาหลาย ๆ วิธี
                    ขั้นที่ ๔  เป็นขั้นที่ทำการคาดคะเนว่า  ถ้าใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ประมวลได้ในขั้นที่ ๓  ผลจะเป็นอย่างไร  มีข้อดีข้อเสียอย่างไร  จะเลือกวิธีใดจึงจะได้ผลที่สุด
                    ขั้นตอนที่ ๕  เป็นขั้นตอนแห่งการปฏิบัติและการทดสอบโดยการนำเอาวิธีแก้ปัญหาไปใช้และประเมินผลว่าวิธีใดแก้ปัญหาได้ดีและถูกต้อง
วิธีการคิดหรือหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น  แสดงเป็นแผนภาพได้ดังนี้

แผนภาพแสดงวิธีการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
         












ขั้นที่






































?

















ความรู้







ความ












จริง









































           สภาวะที่เกิด       สภาวะที่           ทางแก้ปัญหา        ผลที่คาด             ทดสอบผล
           เป็นปัญหา         แน่ชัด                 (สมมุติฐาน)         ว่าจะเกิด            ที่คาดคะเน

           เกณฑ์ที่ปรัชญาสาขาประสบการณ์นิยม ใช้ประเมินความรู้คือ ผลของการนำความรู้ไปใช้             ถ้าใช้ได้ผลก็ถือเป็นความรู้ที่ถูกต้อง (Truth Ss What Worlds)   บรรดาความรู้ตามทฤษฎีแห่งความรู้จึงมีลักษณะเป็นสาธารณะที่เกิดจากการมีประสบการณ์ร่วมกันของมวลมนุษย์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมร่วมกัน
          คุณวิทยา   ปรัชญาสาขาประสบการณ์นิยมได้ให้ความสนใจเรื่องเกี่ยวกับค่านิยมเชิงจริยะและสุนทรียะเป็นอย่างมาก  โดยหลักการแล้วถือว่าค่านิยมเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนด เป็นการกำหนดขึ้นจากประสบการณ์และผลการดำเนินชีวิตภายในกรอบของค่านิยมนั้น ๆ
                    ทางด้านจริยศาสตร์ ปรัชญาสาขานี้ถือว่าคุณธรรมความดีเป็นเรื่องของการทดสอบ (Public Test)  ของคนส่วนใหญ่ ค่านิยมเชิงจริยะไม่ใช่หลักสากลแตกต่างกันไปตามกลเวลาและสถานที่ มนุษย์เป็นผู้กำหนดค่านิยมขึ้นจากประสบการณ์ เพื่อสนองตอบต่อความพยายามในการปรับปรุงสภาพการณ์ของสังคม การประพฤติปฏิบัติตนจะเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการกระทำและผลของการกระทำ  ถ้าทำแล้วเกิดผลดีต่อส่วนรวมก็ถือว่าเป็นการทำดีทำถูกต้อง  เกณฑ์การประเมินค่านิยมเชิงจริยธรรมมี ๒ เกณฑ์คือ
          ๑  การทดสอบผล  ถ้าเป็นผลดีเหมาะสมก็ถือว่าใช้ได้ และ
          สังคมส่วนรวม  กล่าวคือ ต้องเป็นผลดีต่อสังคมส่วนรวมด้วย เมื่อเป็นดังนี้คุณธรรมความดีและความถูกต้องจึงขึ้นอยู่กับการทดสอบความเหมาะสมกับสถานการณ์โดยใช้เสียงของคนส่วนใหญ่เป็นเครื่องตัดสิน
                    ทางด้านสุนทรียภาพ  ปรัชญาสาขานี้สนใจศิลปะเพื่อชีวิต ความงาม ความไพเราะของศิลปะและดนตรี จะมีคุณค่าต่อชีวิตก็ต่อเมื่อมีคุณค่าและความหมายต่อการเสริมสร้างประสบการณ์ เมื่อชมงานศิลปะและฟังดนตรีแล้วมีผลอะไรติดตามมา ถ้าก่อให้เกิดประสบการณ์ ๆ ก็ถือว่ามีคุณค่า ศิลปะจะมีค่าหรือไม่มีค่านั้นขึ้นอยู่กับนิยมของคนส่วนใหญ่ (Public Test)

แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา

          โรงเรียนและผู้เรียน เน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์    ต่อเนื่อง   สิ่งแวดล้อมที่ควรจะไม่แตกต่างไปจากชีวิตจริง ถ้าเป็นไปได้โรงเรียนควรจะมีสภาพเป็นสังคมย่อยที่จำลองแบบสังคมใหญ่  ทั้งนี้เพื่อให้ประสบการณ์ในโรงเรียนมีส่วนสัมพันธ์และเป็นประโยชน์     ต่อการดำเนินชีวิตในสังคม  การให้ความรู้เพื่อการใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตเป็นเป้าหมายสำคัญของโรงเรียน ความรู้เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์จึงเป็นอุดมการณ์ทางการศึกษาของปรัชญาสาขานี้
          ลักษณะของโรงเรียน  จะต้องมุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมเหมือนชีวิตจริงในบ้านและในสังคมเพื่อ       ส่งเสริมให้เกดประสบการณ์ต่อเนื่อง
          หลักสูตร  เน้นการเสริมสร้างประสบการณ์ทางสังคม  ลักษณะของหลักสูตรตามแนวปรัชญาสาขานี้แทนที่จะเน้นเนื้อหาสาระ กลับให้ความสำคัญแกกระบวนการในการศึกษาหาความรู้มากกว่า หลักสูตรจึงเป็นการจัดมวลประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ดังกล่าว  กลุ่มวิชาที่ได้รับการเน้นเป็นพิเศษคือ  สังคมศึกษา   ส่วนวิธีการเรียนการสอนตามหลักสูตรแบบนี้คือ การแก้ปัญหา การทำโครงการและกิจกรรมโดยถือความถนัด ความสนในของผู้เรียนเป็นหลัก
          การเรียนการสอน  การเรียนการสอนตามแนวประสบการณ์นิยมมีลักษณะสำคัญ                     ๓ ประการคือ
                    (การเรียนโดยวิธีแก้ปัญหา (Problem – Solving)   ถือว่าการเรียนรู้ที่ดีคือ  การที่  ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา โดยได้รู้สภาพการณ์ที่เป็นปัญหา  หาวิธีแก้ปัญหาและทดสอบผลการแก้ปัญหาเพื่อจะได้เผชิญกับชีวิตจริงได้โดยอาศัยประสบการณ์จากการเรียนการสอนในโรงเรียนที่ได้ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ดังกล่าวให้
                    (การเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner – centered Learning)  เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่คำนึงถึงความต้องการ ความถนัด และความสนในของผู้เรียนเป็นหลัก ในการจัดการเรียนการสอน
                    (เรียนรู้ในขณะที่นำความรู้นั้น ๆ มาใช้ (Learning While Using Knowledge)  กระบวนการเรียนรู้และการนำความรู้ไปใช้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน การเรียนการสอนแบบนี้มักจะทำในรูปโครงการและกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้มีการศึกษาค้นคว้าแสวงหาคำตอบและแนวทางแก้ปัญหา ความรู้ที่ค้นคว้าได้จะใช้เป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหารือทำโครงการและกิจกรรมนั้น ๆ ให้เสร็จสมบูรณ์
          การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมและสุนทรียภาพ  การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมนั้น    โรงเรียนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้เหมือนกับสภาพความเป็นจริงในสังคม  ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สภาวะทางศีลธรรมจรรยาและแบบอย่างของความประพฤติที่ดีงามที่สังคมยอมรับโดยการผสมผสานเข้ากับการปฏิบัติในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโรงเรียน  กล่าวคือให้ผู้เรียนเรียนรู้จากผลของการกระทำของตนเองในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด เป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริง
          ทางด้านสุนทรียภาพนั้น ก็คือหลักการเรียนรู้จากชีวิตจริงเช่นเดียวกัน  การปลูกฝังรสนิยมทางสุนทรยะจะต้องก่อให้เกิดประสบการณ์ทางสุนทรียะจากศิลปกรรมที่มีความหมายต่อชีวิตจริง

EXISTENTIALISM (อัตภาวะนิยม)
สาระสำคัญ
          ภววิทยา    ปรัชญาสาขานี้เน้นความสำคัญของมนุษย์ในแง่ปัจเจกบุคคล โดยมุ่งให้มนุษย์เลิกยึดถือแนวความคิดและความเชื่อในลัทธิปรัชญาเก่า ๆ และหันมาเน้นเรื่องเสรีภาพของบุคคลและความรับผิดชอบของคนแต่ละคนในการกำหนดวิถีชีวิตของตนเองเป็นสำคัญ   มนุษย์จะทำเช่นนั้นได้   จำเป็นต้องหาทางหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ทางสังคม ศาสนา วิทยาศาสตร์ หรือขนบประเพณีดั้งเดิมก็ตาม
          ในแง่ภววิทยา  ปรัชญาสาขานี้ถือว่าโลกนี้เป็นโลกของความมีอยู่เป็นอยู่ของสรรสิ่งทั้งหลาย    สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่ปัญหาที่น่าสนใจ  ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าเราเกิดมาแล้ว เราจึงกำหนดวิถีชีวิตของเรา  มนุษย์เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของตนเอง  มิใช่อำนาจเหนือมนุษย์ใด ๆ จะเป็นผู้กำหนด  เมื่อเป็นเช่นนี้ความจริงอันเป็นที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคน  ความจริงจึงมีลักษณะเป็นสิ่งที่แต่ละคนเลือก  (Self – Choosing)
          ญาณวิทยา   เช่นเดียวกับหลักการของภววิทยา ปรัชญาสาขานี้ถือว่า  ความรู้คือสิ่งที่มนุษย์เลือกและกำหนด”  ความรู้ไม่ว่าจะได้มาจากศาสดา  จากตำรา จากสามัญสำนึก จากเหตุผล หรือจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นความรู้ที่ถูกต้องมีประโยชน์หรือไม่เพียงใด  ขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของบุคคลแต่ละคน
          คุณวิทยา    ปรัชญาสาขาอัตภาวะนิยม  โดยสาระสำคัญแล้วเป็นทฤษฎีทางด้านค่านิยมมากกว่าอย่างอื่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือก การกำหนด และการวินิจฉัยของบุคคลแต่ละคน  การจะทำเช่นนี้ได้ก็จะต้องมีการประเมินค่า  ซึ่งเป็นเรื่องของคุณวิทยานั่นเอง
                    ปรัชญาสาขานี้ปฏิเสธที่จะประพฤติปฏิบัติตามประกาศิตทั้งมวล เพราะถือว่าการทำเช่นนั้นเป็นการสูญเสียเสรีภาพในการเลือก และเป็นการสละความเป็นอิสระทางศีลธรรม เป็นการเสียลักษณะเฉพาะของการเป็นมนุษย์อันเนื่องมาจากการมอบตัวเองให้อยู่ในอาณัติแห่งอำนาจครอบงำ ภายนอกที่คนมิได้เลือกคุณค่าทางจริยธรรมนั้นเป็นคุณค่าที่มนุษย์เลือก
                    ทางด้านสุนทรียภาพก็เช่นเดียวกันปรัชญาสาขานี้เน้นเสรีภาพของเอกัตบุคคลที่จะเลือกและกำหนดคุณค่าทางสุนทรียะให้กับตัวเองเป็นการตัดสินคุณค่าของศิลปะ โดยไม่ยึดกฎเกณฑ์ใด ๆ เป็นมาตรฐานความงาม ความไพเราะ เป็นรสนิยมของแต่ละคน

 

แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา

          โรงเรียนและผู้เรียน  หากจะจัดโรงเรียนตามแนวปรัชญาสาขานี้ก็คงจัดได้ยาก เพราะ    หารูปแบบการจัดไม่ได้  อย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็คือเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ  ให้มีหลายแบบให้มากที่สุดเพื่อจะได้ให้นักเรียนแต่ละคนสามารถเลือกหาประสบการณ์การเรียนรู้ตามที่ปรารถนา
          หลักสูตร  ในแง่ของหลักสูตรไม่อาจกำหนดรูปแบบได้ชัดเจน  นอกจากจะเปิดให้มีวิชาเลือกเพื่อส่งเสริมเสรีภาพในการเลือกให้กว้างขวางที่สุด  การจะทำเช่นนี้ก็ได้แต่จะต้องมีทรัพยากรมากและมีความพร้อมอย่างยิ่ง จึงยังไม่มีโรงเรียนใดที่จะจัดหลักสูตรตามแนวนี้ได้เต็มที่  วิชาที่ปรัชญาสาขานี้มักจะเน้นเพราะส่งเสริมเสรีภาพการแสวงหาความรู้คือศิลปะ และปรัชญา
          การเรียนการสอน     เน้นการสอนให้เด็กแต่ละคนค้นพบความจริงด้วยตนเอง  เป็นวิธีการสอนทำนองเดียวกับที่โสกราตีส (Socratic Method) ใช้  และจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนแต่ละคนรู้จัก    แนวทางที่จะเลือกอย่างมีความรับผิดชอบ
          การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมและสุนทรียภาพ  การปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรมเน้นเสรีภาพของแต่ละคนที่จะเลือกปฏิบัติและมีความรับผิดชอบต่อการใช้เสรีภาพในการเลือกนั้น ๆ ส่วนเรื่องสุนทรียภาพนั้นอยู่ที่ความพอใจและการเลือกของแต่ละคนโดยไม่ยึดถือจารีตของสังคม

สรุปเปรียบเทียบปรัชญาการศึกษาสาขาต่าง ๆ
สาระสำคัญ
แนวคิดทางการศึกษา
ปรัชญาสาขา
ภววิทยา
ญาณวิทยา
คุณวิทยา
โรงเรียน
หลักสูตร
การเรียนการสอน
การสร้างอุปนิสัยและรสนิยม
มโนคตินิยม
เป็นโลกแห่งจิต เป็นนามธรรม   มีแบบที่เป็นสากล   เป็นจริงในตัวเอง     ไม่เปลี่ยนแปลง
ความรู้เป็นมโนคติ              ไม่เปลี่ยนแปลง อาศัยจิต  ในการหยั่งรู้
จริยธรรมคือการเลียนแบบสิ่งที่เป็นอุดมคติ             คุณค่าทางสุนทรียภาพคือความงามในอุดมคติ
สิ่งแวดล้อมที่เสริมสร้างความคิดและอุดมคติ ให้ยึดมั่นในขนมประเพณี
เนื้อหาวิชาที่เป็นสัญลักษณ์เพื่อเสริมสร้างความคิด เช่น ภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์
การบรรยาย ท่องจำ และการค้นคว้าจากตำรามีครูเป็นแม่พิมพ์ทั้งด้านความรู้และความประพฤติ   ชั้นเรียนและห้องสมุดเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน
ปลูกฝังจริยธรรม โดยการเลียนแบบอย่างที่ดีจากบรรพบุรุษ วีรบุรุษ ปฏิบัติตามขนบประเพณีและคำสอนของผู้ใหญ่                 ด้านสุนทรียภาพเน้นการศึกษาผลงาน   ศิลปกรรมสำคัญ ฝึกให้ จำ ลอก และ          เลียนแบบสิ่งที่ดี
ประจักษ์นิยม
เป็นโลกแห่งวัตถุ หรือสสารที่มีอยู่ตามสภาวะทางธรรมชาติที่สามารถจะรับรู้ได้ด้วยผัสสะ
ความรู้เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ตามสภาวะทางธรรมชาติ เป็นข้อเท็จจริงที่สังเกตได้   ใช้การสังเกตและการทดลองโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเข้าถึงความรู้
จริยธรรมคือการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ   คุณค่าทางสุนทรียะคือ    การสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติที่เป็นจริง
สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติโดยอาศัยกฎธรรมชาติ เป็นหลัก
เนื้อหาวิชาทางกายภาพและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเน้นวิชาวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ และคณิตศาสตร์
เรียนจากของจริง ใช้วิธีการสาธิต สังเกต ทัศนศึกษาเพื่อให้เข้าถึงสภาพความรู้จริงตามธรรมชาติ  ครูเป็นสื่อกลางในการสอน ความสามารถในการสาธิต การอธิบายและการใช้อุปกรณ์การสอนเป็นเรื่องสำคัญ
ปลูกฝังให้ปฏิบัติตามกฎธรรมชาติให้มี    ความซาบซึ้งในความงามตามธรรมชาติและสร้างสรรศิลปกรรมที่สะท้อนภาพธรรมชาติ
ประสบการนิยม
ความเป็นจริงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของมนุษย์และเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง  ไปตามประสบการณ์      ไม่ตายตัว
ความรู้เป็นผลจาก           ประสบการณ์ของมนุษย์ เปลี่ยนแปลงได้ไม่คงที่ ความรู้ที่แท้จริงต้องใช้ประโยชน์ได้ รู้โดยวิธีการแก้ปัญหาและการเสริมสร้างประสบการณ์ต่อเนื่อง
จริยธรรมเป็นสิ่งที่ดีงามที่สังคมโดยส่วนรวมยอมรับคุณค่าทางสุนทรียะขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนส่วนใหญ่
โรงเรียนเป็นสังคมย่อยที่จำลองแบบสังคมใหญ่ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์ต่อเนื่อง
เน้นวิชาที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ของสังคมโดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา
ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ใช้วิธีการ   แก้ปัญหาและการทดลองค้นคว้าให้ทำกิจกรรมเป็นหลัก ครูเป็นผู้ช่วย    ให้ผู้เรียนดำเนินกิจกรรม
ฝึกให้รู้จักตัดสินใจและยึดถือความเห็นของคนส่วนใหญ่ โดยคำนึงถึงผลในทางปฏิบัติ  ที่จะมีต่อส่วนรวม ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศิลปะเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่   เหมาะสม
อัตภวะนิยม
ความเป็นจริงคือสภาวะการณ์ที่มีอยู่เป็นอยู่    ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์เลือกและกำหนด
ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นผลแห่งการเลือกของบุคคลแต่ละคน
จริยธรรมเป็นเสรีภาพของแต่ละคนที่จะเลือกปฏิบัติ สุนทรียภาพอยู่ที่ความพอใจและการเลือกของแต่ละคนโดยไม่ยึดถือจารีตประเพณี
จัดสิ่งแวดล้อมหลาย ๆ แบบเพื่อให้ผู้เรียนเลือกตามเสรีภาพของแต่ละบุคคล
จัดให้มีวิชาเลือกเพื่อส่งเสริม เสรีภาพในการเลือกอย่างกว้างขวาง เน้นวิชาศิลปะและปรัชญา
ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักเลือกอย่างมีความรับผิดชอบ กระตุ้นให้แต่ละคนใช้เสรีภาพในการเลือกอย่างถูกต้องเหมาะสม  ครูเป็นผู้ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวและช่วยให้ผู้เรียนเห็นแนวทางใน   การเลือก
ฝึกให้มีความสำนึกใเสรีภาพในการเลือกแนวทางจริยธรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ฝึกฝนให้สร้างงานทางศิลปะตามแนวคิดของตนเองอย่างเสรี

-----------------------------------------